หน่วยการเรียนรู้ที่ 2


พัฒนาการชาติต่าง ๆ  

    เมื่อกลุ่มคนมีพัฒนาการ  มีการประดิษฐ์ตัวอักษร ทำให้เกิดเป็นชุมชนที่วัฒนธรรมเป็นของตัวเอง สะสมมายาวนาน จึงเป็นแหล่งอารยธรรมสำคัญของโลก ได้แก่  อารยธรรมเมโสโปเตเมีย
อารยธรรมอียิปต์  อารยธรรมกรีก  อารยธรรมโรมัน  อารยธรรมจีน  อารยธรรมอินเดีย เป็นต้น  อารยธรรมเหล่านี้ได้สร้างสรรค์ความเจริญอย่างต่อเนื่อง  หลายสมัย  จึงเป็นแหล่งมรดกที่สำคัญให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้



ใบความรู้ที่ 1 

วิชา สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม       ส 33101                                                               ชั้น ม.6
หน่วยการเรียนที่ 2     พัฒนการชาติ                                         เรื่อง    อารยธรรมเมโสโปเตเมีย                                                                           



อารยธรรมเมโสโปเตเมีย 


เมโสโปเตเมีย ตั้งบนที่ราบลุ่มแม่น้ำ 2  สาย คือแม่น้ำไทกริส กับ แม่น้ำยูเฟรติส  ไหลลงสู่อ่่าวเปอร์เซีย  ปัจจุบันคือประเทศอิรัก



ดินแดนแห่งพระจันทร์เสี้ยว  คือพ้ืนที่อุดมสมบูรณ์เป็นบริเวณโค้ง คล้ายพระจันทร์เสี้ยว
ประเทศอิรัก Iraq  ตั้งอยู่ใกล้อ่าวเปอร์เซีย เป็นแหล่งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย

เมโสโปเตเมีย” แปลว่าดินแดนระหว่างแม่น้ำสองสาย ได้แก่ แม่น้ำไทกริสและแม่น้ำยูเฟรติส ลักษณะ

เป็นรูปครึ่งวงกลมผืนใหญ่ทอดโค้งจากฝั่งทะเลด้านตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปจรดอ่าว

เปอร์เซีย จึงมีสมญานามว่า “ดินแดนพระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์” ด้วยความอุดมสมบูรณ์ทำให้ชน

เผ่าต่างๆ เข้ามาตั้งถิ่นฐานมากมาย เช่น



1. สุเมเรียน

-    ตั้งอยู่ในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงใต้ของที่ราบเมโสโปเตเมียที่เรียกว่า “ซูเมอร์”

-   ปกครองแบบนครรัฐ (City States) แต่ละนครรัฐเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน มีกษัตริย์เป็นผู้นำ นครรัฐที่สำคัญเช่น เมืองอูร์ เมืองเออรุคและเมืองอิริดู เป็นต้น

-    นับถือเทพเจ้าหลายองค์ มีเทพเจ้าประจำนครรัฐ เน้นโลกนี้เป็นสำคัญ ไม่เชื่อเรื่องโลกหน้า

อักษรคูนิฟอร์ม

-ประดิษฐ์อักษรคูนิฟอร์ม(รูปลิ่ม) เขียนลงบน 

   แผ่นดินเหนียวด้วยปากกาที่ทำจากต้นอ้อแล้วนำ
    
     ไปตากแห้ง

-   สร้างซิกกูแรต (วิหารบูชาเทพเจ้า)



ซิกกูแรต

















-   วรรณกรรมกิลกาเมช กล่าวถึงการผจญภัยของบุรุษชาวสุเมเรียน
-   วรรณกรรมเอนลิล กล่าวถึงการสร้างโลกและน้ำท่วมโลก
-   รู้จักใช้ระบบชลประทาน เช่น อ่างเก็บน้ำ เขื่อนกั้นน้ำ ประตูระบายน้ำ
-   ดำรงชีพด้วยการเพาะปลูก พืชที่สำคัญคือ ข้าวสาลี

-   รู้จักใช้ยานพาหนะเช่น รถม้า


-   รู้จักใช้โลหะผสม(สำริด) ทำเครื่องมือ เครื่องประดับ
-   รู้จักทอผ้า
-   รู้จักการบวก ลบ คูณ ทำปฏิทินจันทรคติ(ข้างขึ้น ข้างแรม) การนับวันเวลา




2. อัคคัด หรือ อัคคาเดียน


   -   เป็นพวกเร่ ร่อนเผ่าเซมิติกตั้งถิ่นฐานบริเวณทะเลทรายซีเรียและทะเล                           
                                    ทรายอาหรับ ได้เข้ายึดครองดินแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือของ 
                         
                                    เมโสโปเตเมีย

                              -    ซากอนผู้นำชาวอัคคัด ได้ยึดครองนครรัฐของพวกสุเมเรียนและรวบรวม

                                    ดินแดนบริเวณฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปจนถึงอ่าวเปอร์เซียขึ้นป็น

                                    จักรวรรดิ

                               -    ปกครองไม่นานก็ถูกสุเมเรียนโค่นล้มแล้วปกครองใหม่


 3.  อมอไรต์ หรือ บาบิโลน


พระเจ้าฮัมมูราบี



 -    เป็นเผ่าเซมิติก อพยพมาจากทะเลทราย

      อาระเบียน มายึดครองนครรัฐของสุเมเรียน

-    ขยายอาณาจักรไปกว้างขวางและสถาปนา

       จักรวรรดิบาบิโลเนีย

-    กษัตริย์ที่สำคัญคือพระเจ้าฮัมมูราบี
      
      ทรงได้ประมวลกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่

      เก่าแก่ที่สุดในโลก คือกฎหมายฮัมมูราบี มี

       บทลงโทษแบบ      “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”







4.  ฮิตไทต์


ราชรถของฮิตไตท์จากภาพนูนของอียิปต์

-    เป็นเผ่าอินโดยุโรเปียน

-    เดิมอยู่ทางตอนใต้ของ

รัสเซีย ขยายตัวมาตามลุ่ม

แม่น้ำยูเฟรติส โจมตีทาง

เหนือของซีเรีย ปล้นกรุง

บาบิโลนและปกครองดิน

แดนเมโสโปเตเมียต่อมา

-    มีความสามารถในการ

      รบมาก

-    เป็นชนเผ่าแรกที่รู้จักใช้

เหล็กทำเป็นอาวุธ รู้จักใช้ รถเทียมม้าทำศึก


-    ตรงกับสมัยที่อียิปต์เรืองอำนาจ   กษัตริย์ฮัตตูซิลิที่ 3แห่งฮิตไทต์ และฟาโรห์รามเสสที่ 2แห่ง

      อียิปต์ได้ทำสนธิสัญญาไม่รุกรานกัน และหากบุคคลที่ 3มาโจมตี ต้องช่วยเหลือกัน




 5. แอสซีเรียน

ภาพแกะสลักนูนต่ำ




















-    เป็นเผ่าเซมิติกมาจากทะเลทรายอาหรับ

-    ศูนย์กลางอยู่ที่เมืองนิเนเวห์

-    สามารถในการรบและการค้า

-    ขยายอำนาจถึงฟินิเชีย ปาเลสไตน์ อียิปต์และเปอร์เซีย

-    กองทัพแข็งแกร่ง มีระเบียบวินัยสูง

-    ใช้เหล็กทำอาวุธ

-    มีการก่อสร้างที่ใหญ่โตมหึมา   ทำเป็นโดม เช่นพระราชวังซาร์กอน

-    มีการปั้นแบบนูนตัวและลอยตัว ให้อารมณ์สมจริง

-    มีการแกะสลักภาพ เคลื่อนไหวแบบธรรมชาติ

    กษัตริย์องค์สุดท้ายคือ “พระเจ้าอัชชูบานิปาล” เป็นสมัยที่เจริญสูงสุด มีการสร้างหอสมุด

     รวบรวมข้อมูลมหาศาลและยังรวบรวมแผ่นดินเหนียวที่มีอักษรคูนิฟอร์ม22,000แผ่น

            มีวรรณกรรมที่มีช่ื่อเสียง คือ มหากาพย์กิลกาเมซ



6. แคลเดียน   

ที่มา : http://www.photoforum.ru/photo/316034/index.en.html         
กษัตริย์เนบูคัดเนซซาร์ (Nebuchadnezzar)
           

-   เป็นเผ่าเซเมติก โค่นล้มแอสซีเรียนได้

-   สถาปณาจักรวรรดิแคลเดียนหรือบาบิโลเนียใหม่

-   สร้างสวนลอยแห่งบาบิโลน ในสมัยพระเจ้าเนบูชัดเนสซาร์  สวนลอยนี้จัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งหนึ่งของโลก



สวนลอย

-   ทำแผนที่ดวงดาว

-   คำนวณการเกิดสุริยุปราคา จันทรุปราคา

-   แบ่งสัปดาห์เป็น 7 วัน



7. เปอร์เซีย

         



-   ชนเผ่าอินโดยุโรเปียน ปกครองบริเวณที่ราบสูงอิหร่านมีราชวงศ์ต่างๆปกครอง ดังนี้

            1)  ราชวงศ์อะคีเมนิด

                 - ก่อตั้งโดยพระเจ้าไซรัสมหาราช ขยายอำนาจไปจนถึงแม่น้ำสินธุ อียิปต์


                 - พระเจ้าดาริอุส ขยายจักรวรรดิกว้างขวางไปอีก สร้างเมืองหลวงที่สวยงามชื่อ 

 “เปอร์ชีโปลิช” สร้างถนนเชื่อมดินแดนในจักรวรรดิ ได้ชื่อว่าเป็นยุคทองของเปอร์เซีย

                 - มีศาสนาโซโรแอสเตอร์ เป็นศาสนาประจำชาติ มีเทพเข้าอาหุรามาสดาเป็นเทพฝ่าย

ดีและอาหริมันป็นเทพฝ่ายชั่ว

 - ถูกกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งกรีกยึดครอง ทำให้เสื่อมลง

2) ราชวงศ์เซลิวชิด

-  ก่อตั้งโดยทหารของกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งกรีก แต่ไม่มีอำนาจ

3) จักรวรรดิของชาวปาร์เถียน

- ย้ายเมืองหลวงไปที่แบกแดด

4) ราชวงศ์ซัลซานิด

- ปกครองเป็นเวลา 400ปีเศษ  มีศาสนาอิสลามมาแทนที่ศาสนาซีโรแอสเตอร์

5) ราชวงศ์อับบาสิด หรือ อาหรับมุสลิม

- มุสลิมรุ่งเรืองทางด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์

- กษัตริย์ที่สำคัญคือ ฮารูณ อัล ราชิด ส่งเสริมด้านการค้าจนรุ่งเรือง

6) สมัยมองโกลปกครอง

- ฮุลากุข่านหลานเจงกิสข่านมายึดกรุงแบกแดด ปกครองเป็นเวลา 200ปีครึ่ง

7) ราชวงศ์ซาฟาวี

- ขับไล่มองโกลไปได้ ย้ายเมืองหลวงไปที่อิสฟาฮาน

- กษัตริย์ที่สำคัญคือ ชาห์ อับบาสมหาราช ปฏิรูปการปกครอง

- นับถืออิสลามนิกายชีอะห์


8) ราชวงศ์คะจาร์

- เชื้อสายเติร์ก ไม่ค่อยมีอำนาจ ปกครองแบบเผด็จการ

- รัสเซียและอังกฤษขยายอำนาจ

9) ราชวงศ์ปาเลวี

- กษัตริย์คนแรกคือ เรซา ชาห์ ปาเลวี เปลี่ยนชื่อจากเปอร์ซียเป็นอิหร่าน

10) สมัยสาธารณรัฐอิสลาม

     - อยาโตลลา  โคไมนี โค่นราชวงศ์ปาเลวี เปลี่ยนการปกครองเป็นสาธารณรัฐ

       - ต่อต้านสหรัฐอเมริกา

       - เมื่ออยาโตลลา โคไมนีถึงแก่กรรม ผู้นำได้ดำเนินนโยบายสายกลาง ปฏิรูป

เศรษฐกิจ ให้เสรีภาพ ให้สิทธิสตรี



 8. ฮิบรู

       -  เป็นบรรพบุรุษของชาวยิว

       -  เรื่องราวของชาวฮิบนูปรากฏอยู่มนภาคแรกของคัมภีร์ไบเบิล

       -  กษัตริย์เดวิด เป็นปฐมกษัตริย์

       -  กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ กษัตริย์โซโลมอน

        -  นับถือลัทธิยูดาย

หลังจากกรีก-โรมัน เรืองอำนาจในเอเชียตะวันตก แต่อารญธรรมเมโสโปเตเมียก็ไม่

สูญสลายก็มีวัฒนธรรมกรีก-โรมัน เป็นรากฐานวัฒนธรรมโลกต่อมา


งานสร้างสรรค์ของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย

ความเจริญของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ท่ามกลางความแห้งแล้งเป็นทะเลทราย แต่

ความเจริญก็ได้รับการสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง ด้วยกลุ่มชนเผ่า ต่างๆ   ดังนี้

1.  สถาปัตยกรรม   ชาวสุเมเรียนใช้อิฐในการก่อสร้างพระราชวัง  วิหารของเทพเจ้า 

     อิฐทำมาจากดินเหนียวตากแห้ง เรียกว่าอิฐตากแห้ง   ที่นครเออร์  พบพระราชวัง

     และซิกกูแรต  เป็นศาสนสถานที่ก่อสร้างด้วยอิฐ

2.  การประดิษฐ์ตัวอักษร สุเมเรียนเป็นชาติแรกที่ประดิษฐ์ตัวอักษร ใช้ก้านอ้อ เขียน

     ลงบนแผ่นดินเหนียวขณะที่ยังอ่อนตัว  แล้วนำไปตากแดดหรือเผาให้แห้ง

     ตัวอักษรลิ่มคล้ายลิ่ม จึงเรียกว่าอักษรลิ่ม หรือ คูนิฟอร์ม  ผู้ที่สามารถอ่านอักษร

      ลิ่มได้คนแรก คือ เซอร์เฮนรี  รอว์บินสัน

        ต่อมา ชาวฟีนีเชียน นักเดินเรือได้แก่้ไขตัวอักษร  เป็นพยัญชนะอัลฟาเบท

3. ปฏิทินและระบบการนับ   ปฏิทินของสุเมเรียนเป็นแบบจันทรคติ 

4.  ประมวลกฏหมาย  ที่เก่าแก่คือ ประมวลกฏหมายของพระเจ้าฮัมมูราบี  เป็น

      กฏหมายที่รุนแรง  ลงโทษแบบตาต่อตา  ฟันต่อฟัน

5. วรรณกรรม คือ มหากาพย์กิลกาเมซ ที่เป็นเรื่องเล่าการผจญภัยของวีรบุรุษ

6. ด้านเทคโนโลยี  สุเมเรียนรู้จักนำสำริดคือ ทองแดงผสมดีบุก มาประดิษฐ์รถไถ

    สำริดในการทำไร่ทำนา   ประดิษฐ์แป้นหมุนสำหรับภาชนะดินเผา

     พวกฮิตไทต์สร้างอาวุธด้วยเหล็ก  ประดิษฐ์วงล้อเพื่อใช้เกวียนและรถม้าศึก



..................................................................................


ใบความรู้ที่ 2 

วิชา สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม       ส 33101                               ชั้น ม.6         
หน่วยการเรียนที่ 2     พัฒนการชาติ                    เรื่อง    อารยธรรมอียิปต์



อียิปต์ตั้งอยู่ทางเหนือของทวีปแอฟริกา เป็นทะเลทรายใหญ่ มีแม่น้ำไนล์ไหลผ่าน  จึงได้   ฉายาว่า  ของขวัญแห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ มีหลักฐานโดยเฮโรโดตุส ได้กล่าวถึงอียิปต์ ว่าน้ำท่วมทุกปี บริเวณ สองชายฝั่งแม่น้ำไนล์   ทำให้น้ำนำดินตะกอนมาทับถมทำให้พื้นที่เหมาะสำหรับการเพาะปลูก  นอกจากนี้ ชาวอียิปต์จึงต้องสร้างเขื่อน  ระบบชลประทานสำหรับป้องกันน้ำท่วม

                         
                    

อาณาจักรอียิปต์ก่อตัวขึ้นเมื่อประมาณ 3100 ปีก่อนคริสต์ศักราช และมีความเจริญรุ่งเรืองต่อเนื่องมาเกือบ 3000 ปี มีราชวงศ์ปกครองประมาณ 30 ราชวงศ์ มีหลักฐานค้นพบที่เป็นลายลักษณ์อักษร คือ อักษรภาพที่เรียกว่า เฮียโรกลิฟิค  จารึกบนแผ่นศิลาหรือฝาผนัง  ต่อมาได้พัฒนาการตัวอักษรภาพ จนเป็นพยัญชนะ เรียกว่า ตัวอักษรเฮียราติก ต่อมาก็ปรับปรุงอีก เรียกว่า เดโมติก  ต่อมาก็ผสมผสานกับอักษรกรีก เรียกว่าอักษร          คอปติก  ผู้ที่สามารถอ่านอักษรภาพได้คือ  นักภาษาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ชื่อ ชอง  ชองโปลีออง (Jean  Champollion)  ได้พยายามอ่านและศึกษาจากแผ่นศิลาโรเซตตา  จารึกนี้พบที่เมืองโรเซตตา  ประเทศอียิปต์      ชาวอียิปต์ทำกระดาษจากต้นปาปิรุส  ส่วนหมึกทำจากยางไม้ พืช

อียิปต์   มีส่ิ่งก่อสร้างที่เรียกว่าพีระมิดซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของอารยธรรมอียิปต์   การสร้างพีระมิดใช้ความรู้คณิตศาสตร์  เรขาคณิต  ที่หน้าพีระมิด มี สฟิงกซ์  ตัวเป็นสิงโต  หน้าเป็นคน  ทำจากหิน  ทำเพื่อพิทักษ์สุสานฟาโรห์      ชาวอียิปต์นับถือเทพเจ้าหลายองค์  แต่เทพเจ้าสูงสุด คือ เร หรือ รา (Re or Ra) ซึ่งเป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์และเป็นหัวหน้าแห่งเทพเจ้าทั้งปวง    สัญลักษณ์ของเทพเจ้าเร คือ   หินที่มีรูปร่างคล้ายพีระมิด เรียกว่า  เบนเบน (Benben)  ซึ่งจะประดิษฐ์บนเสาสูงที่เรียกว่า  โอเบอลิสก์      โอริซิส (Orisis) ซึ่งเป็นเทพแห่งแม่น้ำไนล์ผู้บันดาลความอุดมสมบูรณ์ให้แก่อียิปต์และเป็นผู้พิทักษ์ดวงวัญญาณหลังความตาย และไอซิส ซึ่งเป็นเทวีผู้สร้างและชุบชีวิตคนตาย และยังเป็นชายาของเทพโอริซิสอีกด้วย ชาวอียิปต์นับถือฟาโรห์ของตนเสมือนเทพเจ้าองค์หนึ่ง  ฟาโรห์เป็นกษัตริย์ ปกครองอียิปต์ มีอำนาจเด็ดขาดในการปกครอง  มีความเชื่อเรื่องวิญญาณเป็นอมตะ จึงสร้างมัมมี  สร้างสุสานขนาดใหญ่หรือพีระมิดสำหรับเก็บร่างกายที่ทำให้ไม่เน่าเปื่อยด้วยวิธีการมัมมี่ เพื่อรองรับวิญญาณที่จะกลับคืนมา  เขียนหนังสือสำหรับผู้ตายเรียกว่า คัมภีร์มรณะหรือบันทึกผู้วายชนม์    (book  of the dead) ซึ่งอธิบายผลงานและคุณความดีในอดีตของดวงวิญญาณที่รอรับการตัดสินของเทพโอริซิส บันทึกเหล่านี้ช่วยให้เข้าใจถึงวิถีชีวิตชาวอียิปต์และพัฒนาการของอารยธรรมด้านต่างๆ    ถ้า บันทึกผู้วายชนม์อยู่ที่กำแพงพีระมิด ก็เรียกว่า  พีระมิดเท็กซ์ (Pyramid  Texts)  
  ความเจริญด้านวิทยาการ ชาวอียิปต์ได้ ให้แก่มรดกที่เป็นงานสร้างสรรค์ เช่น ด้านดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ การแพทย์ และอักษรศาสตร์
ด้านดาราศาสตร์ เกิดจากการสังเกตปรากฏการ์ณที่น้ำในแม่น้ำไนล์หลากท่วมล้นตลิ่ง เมื่อน้ำลดแล้วพื้นดินก็มีความเหมาะสมที่จะเพาะปลูก หลังจากชาวนาเก็บเกี่ยวพืชผลแล้วน้ำในแม่น้ำไนล์ก็กลับมาท่วมอีก หมุนเวียนเช่นนี้ตลอดไป ชาวอียิปต์ได้นำความรู้จากประสบการ์ณดังกล่าวไปคำนวณปฏิทิน นับรวมเป็น 1 ปี มี 12 ดือน ในรอบ 1 ปียังบ่งเป็น 3 ฤดูที่กำหนดตามวิถีการประกอบอาชีพ คือ ฤดูน้ำท่วม ฤดูไถหว่าน และฤดูเก้บเกี่ยว  เป็นปฏิทินทางสุริยคติ ใน 1 ปี  มี 365  วัน
ด้านคณิตศาสตร์ โดยเฉพาะการคำนวณขั้นพื้นฐาน ได้แก่ การบวก ลบ และหาร และการคำนวณพื้นที่วงกลม สี่เหลี่ยม และสามเหลี่ยม ความรู้ ดังกล่าวเป็นฐานของวิชาฟิสิกส์ ซึ่งชาวอียิปต์ใช้คำนวณในการก่อสร้างพีระมิด วิหาร เสาหินขนาดใหญ่ ฯลฯ
ด้านการแพทย์ มี ความก้าวหน้าทางด้านการแพทย์มาก เอกสารที่บันทึกเมื่อ 1700 ปีก่อนคริสต์ศักราช ระบุว่าอียิปต์มีผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์หลายสาขา เช่น ทันตแพทย์ ศัลยแพทย์ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ในสมัยนี้แพทย์อียิปต์สามารถผ่าตัดคนไข้แบบง่ายๆ ได้แล้ว นอกจากนี้ยังคิดค้นวิธีปรุงยารักษาโรคต่างๆ ได้จำนวนมาก โดยรวบรวมเป็นตำราเล่มแรก ซึ่งต่อมาถูกนำไปใช้กันแพร่หลายในทวีปยุโรป
ด้านอักษรศาสตร์ อักษรไฮโรกลิฟิกเป็นอักษรรุ่นแรกที่อียิปต์ประดิษฐ์ขึ้นเมื่อประมาณปี 3100 ปีก่อนคริสต์ศักราช เป็นอักษรภาพแสดงลักษณ์ต่างๆ ต่อมามีการพัฒนาตัวอักษรเป็นแบบพยัญชนะ ในระยะแรก ชาวอียิปต์จารึกเรื่องราวด้วยการแกะสลักอักษรไว้ตามกำแพงและผนังของสิ่งก่อ สร้าง เช่น วิหารและพีระมิด ต่อมาค้นพบวิธีทำกระดาษจากต้นปาปิรุส ทำให้มีการบันทึกแพร่หลายมากขึ้น  
ศิลปกรรม  
สถาปัตยกรรม ที่สำคัญ คือ  พีระมิด ซึ่งสร้างขึ้นด้วยจุดประสงค์ทางศาสนาและอำนาจทางการปกครอง  ความยิ่งใหญ่ของพีระมิดสะท้อนถึงอำนาจของฟาโรห์ ความสามารถในการออกแบบและก่อสร้างของชาวอียิปต์ เช่น พีระมิดแห่งเมืองกิซา (Giza) ซึ่งใช้แรงงานคนถึง 100,000 คน ทำการก่อสร้างพีระมิดขนาดความสูง 137 เมตร เป็นเวลานานถึง 20 ปี โดยใช้หินทรายตัดเป็นก้อนสี่เหลี่ยม น้ำหนักขนาด 2.2-2.5 ตัน รวมประมาณ 2 ล้านก้อนเป็นวัสดุก่อสร้าง
นอกจากพีระมิดแล้ว อียิปต์ยังสร้างวิหารจำนวนมาก เพื่อบูชาเทพเจ้าแต่ละองค์และเทพประจำท้องถิ่นภายในวิหารมักจะประดับด้วยเสาหินขยาดใหญ่ซึ่งแกะสลักลวดลายอย่างงดงาม วิหารที่สำคัญและยิ่งใหญ่ของอียิปต์ ได้แก่ วิหารแห่งเมืองคาร์นัก (Karnak) และวิหารแห่งเมืองลักซอร์ (Luxor)
ประติมากรรม ชาวอียิปต์สร้างผลงานประติมากรรมไว้จำนวนมาก ทั้งที่เป็นรูปปั้นและภาพสลัก ส่วนใหญ่ประดับอยู่ในพีระมิดและวิหาร ที่พบในพีระมิดมักเป็นรูปปั้นของฟาโรห์และมเหสี ภาพสลักที่แสดงถึงเรื่องราวต่างๆ และวิถีชีวิตของชาวอียิปต์ ส่วนในวิหารมักเป็นรูปปั้นสัญลักษณ์ของเทพและสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือ เช่น สุนัข แมว เหยี่ยว ฯลฯ และภาพสลักที่แสดงเรื่องราวและเหตุการณ์
จิตรกรรม ผลงานด้านจิตรกรรมพบในพีระมิดและสุสาน  ภาพวาดของชาวอียิปต์ส่วนใหญ่มีสีสันสดใส มีทั้งภาพสัญลักษณ์ของเทพเจ้าที่ชาวอียิปต์นับถือ พระราชกรณียกิจของฟาโรห์และสมาชิกในราชวงศ์ ภาพบุคคลทั่วไปและภาพ ที่สะท้อนวิถีชีวิตของชาวอียิปต์ เช่น การประกอบเกษตรกรรม เป็นต้น
ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ  ศรษฐกิจของอียิปต์คือ การเกษตรกรรม พาณิชยกรรม  
เกษตรกรรม   เพราะตั้งอยู่ใกล้เแม่น้ำไนล์เหมาะสำหรับการเพาะปลูก  น้ำไหลมาจากตอนกลางของทวีปแอฟริกา  ช่วงฤดูน้ำหลาก  น้ำท่วมพื้นที่ใกล้น้ำ จึงทำให้มีการคิดค้นระบบชลประทาน  คลองส่งน้ำจากแม่น้ำไนล์เข้าไปยังพื้นที่ที่ห่างจากฝั่ง ระบบชลประทาน     จึงเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยให้เกษตรกรอียิปต์ดำเนินการเพาะปลูก ได้ต่อเนื่อง ไม่ต้องละทิ้งถิ่นฐานไปแสวงหาดินแดนที่อุดมสมบูรณ์มากกว่า  พืชที่ปลูกได้แก่ ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวฟ่าง ผัก ผลไม้ ปอ และฝ้าย
พาณิชยกรรม จักรวรรดิอียิปต์ติดต่อค้าขายกับดินแดนอื่นๆ ตั้งแต่ประมาณ 2000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ดินแดนที่ติดต่อค้าขาย ได้แก่ เกาะครีต (Crete) เมโสโปเตเมีย   สินค้า   ส่งออก  คือ ทองคำ ข้าวสาลี และผ้าลินิน ส่วนสินค้าที่นำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ แร่เงิน งาช้าง และไม้ซุง
.....................................................................................

ใบความรู้ที่ 3 
วิชา สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม       ส 33101                                     ชั้น ม.6
หน่วยการเรียนที่ 2     พัฒนการชาติ                                  เรื่อง    อารยธรรมกรีก                                                                      


หลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับกรีก

       หลักฐานทางโบราณคดีที่พบเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำด้วยหิน  เครื่องปั้นดินเผามีลวดลายประดับ เป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์  นอกจากนี้พบว่ามีโลหะ ใช้ด้วย คือทองแดง  สำริด บนเกาะครีต  มีการพบอักษรภาพบนแผ่นดินเหนียว ต่อมาใช้ตัวอักษรเป็นเส้นตรงเรียกว่า linear A       ดังนั้นเรื่องราวของกรีกจึงเริ่มที่เกาะครีต คือ อาณาจักรไมนวน


ความเป็นมาของกรีก

          จากที่ตั้ง อารยธรรมกรีกเกิดขึ้นในบริเวณตอนใต้ของคาบสมุทรบอลข่านและชายฝั่งทะเลอีเจียน  จุดเริ่มต้นเริ่มที่เกาะครีต    เรียกว่าอารยธรรมไมนวน (Minoan Civilization ประมาณปี 2000-1400 ก่อนคริสต์ศักราช)  พบซากพระราชวังที่เมืองคนอสซัส (Knossos) โดยเซอร์อาเธอร์ เอเวนส์  ชาวอังกฤษ        ต่อมาก็ถูกทำลายจากพวกไมซีเนียนบนแผ่นดินของคาบสมุทรบอลข่าน

           ต่อมา“เฮลลีน” (Hellene) เป็นพวกอินโด-ยูโรเปียนกลุ่มหนึ่งที่อพยพมาจาก  ทางเหนือของกรีกมาตั้งถ่ินฐานบนคาบสมุทรบอลข่าน    แล้วเผ่าไมซีเนียนที่มีความเจริญก็ได้ขยายอำนาจและก่อตั้งเป็นนครรัฐ ยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ และมีอำนาจสูงสุด  มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองไมซีเนทางตอนใต้ของประเทศกรีซในปัจจุบัน พวกไมซีเนียนเป็นนักรบที่มีความเก่งกล้าสามารถยึดครองดินแดนของนครรัฐอื่นๆ รวมทั้งเกาะครีต และรับอิทธิพลของอารยธรรมต่างๆ โดยเฉพาะอารยธรรมไมนวนของชาวเกาะครีต  ยุคนี้เรียกว่าอารยธรรมไมซีเน

       ต่อมา  พวกกรีกอีกกลุ่มหนึ่งเรียกว่า ดอเรียน (Dorians) ซึ่งอพยพมาจากทางเหนือและขยายอำนาจครอบครองดินแดนของพวกไมซีเนียน        พวกนี้ได้สร้างนครรัฐสปาร์ตาเป็นศูนย์กลางปกครองของตน พวกดอเรียนมีความเจริญน้อยกว่าไมซีเนียนและไม่รู้หนังสือ จึงไม่มีหลักฐานที่กล่าวถึงดินแดนกรีกภายใต้อิทธิพลของพวกดอเรียนในช่วงปี 1100-750 ก่อนคริสต์ศักราชมากนัก จนกระทั่งประมาณปี 750 ก่อนคริสต์ศักราช ได้มีการประดิษฐ์อักษรซึ่งรับรู)แบบมาจากอักษรและพยัญชนะของพวกฟีนิเชียนที่เข้ามาติดต่อค้าขายในช่วงนั้น อย่างไรก็ตามแม้พวกดอเรียนจะมีอำนาจเข้มแข็งแต่ก็ไม่สามารถรวมอำนาจปกครองนครรัฐกรีกได้ทั้งหมด

         ต่อมา  นครรัฐสปาร์ตาเสื่อมอำนาจ เมื่อปี 371 กาอนคริสต์ศักราช นครรัฐอื่นๆ ก็พยายามรวมตัวกันโดยมีนครรัฐ       ทีบีส (Thebes) เป็นผู้นำ แต่ในที่สุดก็ถูกกษัตริย์     ฟิลิปแห่งมาซิโดเนียซึ่งอยู่ในเขตเอเชียไมเนอร์รุกรานและครอบครองเมืื่อปี 338 ก่อนคริสต์ศักราช     เมื่อพระเจ้าอะเล็กซานเดอร์มหาราช (Alexander the Great, ปี 336-323 ก่อนคริสต์ศักราช) โอรสของพระเจ้าฟิลิปได้ปกครองจักรวรรดิมาซิโดเนีย พระองศ์ได้ขยายอาณาจักรออกไปอย่างกว้างขวางจนถึงเขตลุ่มแม่น้ำสินธุและได้ครอบครองแหล่งอารยธรรมต่างๆ ของโลก ได้แก่ อียิปต์ เมโสโปเตเมีย และเปอร์เซีย จึงมีการรับความเจริญจากแหล่งต่างๆ เหล่านั้นมาผสมผสานกับอารยธรรมกรีก เรียกว่า อารยธรรมเฮลเลนิสติกตามชื่อสมัยเฮลเลนิสติก (Hellenistic) ซึ่งเริ่มตั้งแต่สมัยของพระเจ้าอะเล็กซานเดอร์มหาราชจนกระทั่งสิ้นสลายเมื่อประมาณปี 146 ก่อนคริสต์ศักราช จากนั้นดินแดนกรีกได้ตกอยู่ใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมัน ความเจริญต่างๆ ที่ชาวกรีกสั่งสมไว้ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมโรมัน

การปกครองของกรีก     ใช้การปกครองแบบนครรัฐ (city -state) ทั้งนี้ป็นเพราะลักษณะภูมิประเทศของกรีกที่เป็น ภูเขา การติดต่อกันไม่สะดวก  จึงให้ปกครองแบบนครรัฐ ซึ่งชาวกรีก เรียกว่า  โพลิส (polis) เดิมโพลิสหมายถึงที่สูง ที่มีลักษณะคล้ายป้อมปราการ แต่ละนครรัฐมีอิสระในการปกครอง   ส่งเสริมให้นครรัฐแต่ละแห่งมีโอกาสพัฒนารูปแบบและวิธีการปกครองของตนเอง    นครรัฐ  ได้แก่            สปาร์ตา  เอเธนส์  มาซิโดเนียน  
นครรัฐสปาร์ตา มีการปกครองแบบทหารนิยม คณะผู้ปกครองมีอำนาจสูงสุดและเด็ดขาด พลเมืองชายทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 20-60 ปี ต้องถูกฝึกฝนให้เป็นทหาร เรียนรู้วิธีการต่อสู้และเอาตัวรอดในสงคราม  การปกครองของพวกสปาร์ตานับเป็นการขัดขวางสิทธิของปัจเจกชน 
ครรัฐเอเธนส์ เป็นต้นกำเนิดของรัฐประชาธิปไตย นครรัฐเอเธนส์ปกครองโดยสภาห้าร้อย ซึ่งได้รับเลือกจากพลเมืองเอเธนส์ที่มีสิทธิออกเสียง สภานี้มีหน้าที่ตรวจสอบร่างกฎหมายและบริหารการปกครอง นอกจากนี้ยังมีสภาราษฎร ซึ่งเป็นที่ประชุมของพลเมืองที่มีสิทธิออกเสียงทุกคนและทำหน้าที่พิจารณาร่างกฎหมาย การที่เอเธนส์ให้สิทธิและเสรีภาพแก่ปัจเจกชน ทำให้เกิดนักคิดและนักปราชญ์ที่เรียกว่าพวกโซฟิสต์ (Sophists) สำนักต่างๆ ในสังคมเอเธนส์ แนวคิดและปรัชญาของนักปรัชญาคนสำคัญ ได้แก่ โซเครติส และเพลโต ยังเป็นหลักปรัชญาของโลกตะวันตกด้วย
        งานสร้างสรรค์ความเจริญของกรีก


       กรีกได้สร้างมรดกให้แก่ชาวโลก  เช่น  ด้านศิลปกรรม ปรัชญา การศึกษา วรรณกรรมและวิทยาการต่างๆ
ศิลปกรรม   ได้รับแรงบันดาลใจจากความศรัทธาทางศาสนา  
ด้านสถาปัตยกรรม   เช่น วิหาร สนามกีฬา โรงละคร ความโดดเด่นของงานสถาปัตยกรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับความใหญ่โตของสิ่งก่อสร้าง แต่เป็นความงดงามของสัดส่วนที่สมบูรณ์แบบ ตัวอย่างเช่น วิหารพาร์เทนอน (Parthenon) ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาอะโครโพลิส (Acropolis) เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีสัดส่วนงดงามทั้งความยาว ความกวว้างและความสูง จัดว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของโลก
ด้านประติมากรรม ผลงานด้านประติมากรรมจัดว่าเป็นสิ่งที่โดดเด่นที่สุดในงานศิลปกรรมของกรีก ชาวกรีกสร้างงานประติมากรรมจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นรูปปั้นเทพเจ้าของกรีก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากชาวกรีกยอมรับและเชื่อมั่นคุณค่าของมนุษย์ ผลงานประติมากรรมจึงดูเป็นธรรมชาติ ลักษณะของสรีระกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นคล้ายมนุษย์ที่มีชีวิต ผลงานชิ้นเยี่ยมได้แก่ รูปปั้นเทพเจ้าอะทีนา ที่วิหารพาร์เทนอน และเทพเจ้าซุส ที่วิหารแห่งโอลิมเปีย


ด้านจิตรกรรม ที่ปรากฏอยู่ส่วนใหญ่เป็นลวดลายที่เขียนบนเครื่องปั้นดินเผา เช่น แจกัน คนโท ฯลฯ และจิตรกรรมฝาผนังที่พบในวิหารและกำแพง
ศิลปะการแสดง ชาวกรีกได้คิดค้นศิลปะการแสดงประเภทต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นการจัดแสดงเพื่อเฉลิมฉลองพิธีบวงสรวงเทพเจ้าของตน เช่น ละครกลางแจ้งซึ่งเป็นต้นแบบของการแสดงละครในปัจจุบัน ดนตรีและการละเล่นอื่นๆ
ปรัชญา ความเจริญด้านปรัชญาได้รับการยกย่องว่าเป็นความเจริญรสูงสุดของภูมิปัญญากรีกเช่นเดียวกับความเจริญด้านศิลปกรรม นักปรัชญากรีกที่มีชื่อเสียงโดดเด่น ได้แก่        โซเครติส เพลโต และอริสโตเติล
โซเครติส (Socrates) เกิดที่นครเอเธนส์ มีชีวิตอยู่ระหว่างปี 469-399 ก่อนคริสต์ศักราช เขาสอนให้คนใช้เหตุผลและสติปัญญาในการแสวงหาความจริงเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ วิธีสอนของเขาซึ่งเรียกว่า “Socretic method” ไม่เน้นการท่องจำ แต่ใช้วิธีตั้งคำถามโดยไม่ต้องการคำตอบ แต่ให้ผู้ถูกถามขบคิดปัญหาเพื่อหาคำตอบด้วยตนเอง  
เพลโต (Plato) เป็นศิษย์เอกของโซเครติส เกิดที่นครเอเธนส์ประมาณ 429 ปีก่อนคริสต์ศักราชและเป็นผู้ถ่ายทอดหลักการและความคิดของโซเครติสให้ชาวโลกได้รับรู้ เพลโตได้เปิดโรงเรียนชื่อ “อะแคเดอมี” (Academy) และได้เขียนหนังสือที่สะท้อนแนวคิดเกี่ยวกับการปกครอง การศึกษา ระบบยุติธรรม ผลงานที่โดนเด่นและทำให้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งปรัชญาการเมืองสมัยใหม่คือหนังสือชื่อ สาธารณรัฐ (Republic) ซึ่งเสนอแนวคิดในการปกครองประเทศและมีอิทธิพลต่อความคิดทางการเมืองของผู้คนทั่วโลก
อริสโตเติล (Aristotle) เป็นทั้งนักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์ เขาเป็นศิษย์ที่ชาญฉลาดของเพลโตและเคยเป็นพระอาจารย์ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซิโดเนีย อริสโตเติลเป็นทั้งปราชญ์และนักวิจัยที่มีความสนใจหลากหลาย นอกจากปรัชญาทางการเมืองแล้ว เขายังสนใจวิทยาการใหม่ๆ อีกมาก เช่น ชีววิทยา ฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ หลักตรรกศาสตร์ วาทกรรม จริยศาสตร์ ฯลฯ ผลงานที่โดดเด่นของเขาคือหนังสือชื่อ การเมือง (Politics)  
การศึกษา การศึกษามีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของชาวกรีก เพราะทำให้มีสถานะที่ดีในสังคม ผู้ที่ได้รับการศึกษาสูงจะมีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครอง โดยเฉพาะชาวเอเธนส์เชื่อว่าระบอบประชาธิปไตยจะประสบความสำเร็จได้ถ้าหากผู้นำมีการศึกษา ดังนั้นจึงจัดการศึกษาขั้นประถมให้แก่เด็กชายโดยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน

วิชาที่สอนในระดับประถมศึกษา ได้แก่ ไวยากรณ์กรีก ซึ่งรวมถึงมหากาพย์ อีเลียด (Iliad) และ โอเดสซี (Odyssey) ของโฮเมอร์ (Homer) ดนตรี และยิมนาสติก หลักสูตรนี้เน้นการฝึกฝนความรู้ด้านภาษา อารมณ์ และความแข็งแกร่งของร่างกาย ส่วนเด็กโตจะศึกษาวิชากวีนิพนธ์ การปกครอง จริยศาสตร์ ตรีโกณมิติ ดาราศาตร์ วาทกรรม เมื่อสำเร็จหลักสูตรแล้ว เยาวชนชายเหล่านี้ก็มีความสมบูรณ์ทั้งสติปัญญาและร่างกายและพร้อมเป็นพลเมืองกรีกเมื่ออายุครบ 19 ปี
วิธีจัดหลักสูตรที่สร้างความพร้อมให้แก่พลเมืองทั้งด้านสติปัญญา อารมณ์ และร่างกายนี้ เป็นแบบอย่างที่นักการศึกษาของโลกตะวันตกนำมาพัฒนาใช้จนถึงปัจจุบัน
วรรณกรรม วรรณกรรมของกรีกได้รับการยกย่องอยู่ในกลุ่มวรรณกรรมที่ดีที่สุดของโลก วรรณกรรมที่โดดเด่นได้แก่ มหากาพย์ของโฮเมอร์เรื่อง อีเลียด และ โอเดสซี ซึ่งแต่งขึ้นประมาณช่วงศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสต์ศักราช เพื่อสะท้อนความรู้สึกของกวีต่อโศกนาฏกรรมในสงครามกรุงทรอย (Troy) นอกจากความงดงามของภาษาและการดำเนินเรื่องแล้ว มหากาพย์ทั้งสองเรื่องนี้ยังให้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับวิถีชีวิต ประเพณีและความคิดของชาวกรีกในช่วง 1000-700 ปีก่อนคริสต์ศักราช
ความเจริญของวิทยาการต่างๆ กรีกเป็นต้นแบบของโลกตะวันตกในการพัฒนาความเจริญด้านวิทยาการต่างๆ
ประวัติศาสตร์ กรีกเป็นชาติแรกในโลกตะวันตกที่เริ่มศึกษาประวัติศาสตร์ตามแบบวิธีการทางประวัติศาสตร์ซึ่งได้แก่ การสืบค้นข้อมูล การตรวจสอบหลักฐาน และการเลือกใช้ข้อมูล นักประวัติศาสตร์กรีกคนแรกที่เริ่มเขียนงานประวัติศาตร์ในลักษณะนี้คือ               เฮโรโดตัส (Herodotus) ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งประวัติศาสตร์ของโลกตะวันตก นอกจากนี้ยังมี ทูซิดิดีส (Thucydides) นักประวัติศาสตร์ที่ได้รับการยกย่องด้านการสร้างผลงานทางประวัติศาสตร์และมาตรฐานของวิธีการศึกษาค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ยึดถือกันอยู่ในปัจจุบัน
คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เจริญรุ่งเรืองมากตั้งแต่ 400 ปีก่อนคริสต์ศักราช นักคณิตศาสตร์ชาวกรีกค้นพบทฤษฎีทางเรขาคณิตและพีชคณิต ซึ่งเป็นพื้นฐานของการคำนวณและประมวลผลขั้นสูง นอกจากนี้กรีกยังมีความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ โดยมีอริสโตเติลเป็นผู้วางรากฐานการศึกาษวิชาพฤกษศาสตร์ สัตวแพทย์ และกายวิภาค
ด้านการแพทย์ ฮิปโปเครตีส (Hippocrates) เป็นแพทย์ชาวกรีกที่มีชื่อเสียง และค้นพบว่าโรคร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากธรรมชาติไม่ใช่การลงโทษลงพระเจ้า เชาเชื่อว่าวิธีการรักษาที่ดีที่สุดคือการควบคุมด้านโภชนาการและการพักผ่อน นอกจากนี้ ฮิปโปเครตีสยังเป็นผู้ริเริ่มวิธีการรักษาโรคด้วยการผ่าตัด และกำหนดหลักจรรยาแพทย์ที่ถือปฏิบัติต่อมาจนถึงปัจจุบัน
ดาราศาตร์และภูมิศาสตร์ ความก้าวหน้าด้านคณิตศาสตร์ ช่วยให้นักดาราศาตร์ชาวกรีกคำนวณตำแหน่งของดวงดาวและระบบสุริยจักรวาล นักดาราศาตร์กรีกบางคนเชื่อว่าโลกและดาวเคราะห์ดวงอื่นหมุนรอบดวงอาทิตย์ อย่างไรก้ตาม พวกเขาไม่สามารถโน้มน้าวให้ชาวกรีกยอมรับการค้นพบนี้ อนึ่ง นักภูมิศาสตร์กรีกยังเชื่อว่าโลกกลมซึ่งทำให้สามารถเดินเรือจากกรีกไปถึงอินเดียได้ รวมทั้งยังค้นพบว่าการขึ้นลงของกระแสน้ำเกิดจากอิทธิพลของดวงจันทร์
       การแข่งขันกีฬาโอลิมปิค  

       การแข่งขันกีฬานี้  ชาวกรีกถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของศาสนา  จึงสร้างสนามกีฬา

ขนาดใหญ่  สร้างวิหารเทพเจ้าเซอุสที่ยอดเขาโอลิมบุส  รางวัลที่ได้รับคือ ช่อมะกอก

ป่าขดเป็นพวง

ใบความรู้ที่ 4 
วิชา สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม       ส 33101                                     ชั้น ม.6
หน่วยการเรียนที่ 2     พัฒนการชาติ                                  เรื่อง    อารยธรรมโรมัน


     อารยธรรมโรมัน

       โรมันมีศูนย์กลางอยู่ที่แหลมอิตาลี  โรมันเป็นกลุ่มอินโด-ยูโรเปียน อพยพจากทางตอนเหนือ      มาตั้งถิ่นฐานในแหลมอิตาลี   และเรียกตัวเองว่า “โรมัน” พวกโรมันได้ขยายอิทธพลเข้าครอบครองดินแดนที่เป็นศูนย์กลางความเจริญของอารยธรรมเฮลเลนิสติกซึ่งสลายเมื่อประมาณปี 146 ก่อนคริสต์ศักราช และดินแดนอื่นๆ ทั้งในยุโรปและแอฟริกาเหนือ โรมันขยายอำนาจครอบครองดินแดนอื่นๆอย่างรวดเร็ว จึงเปลี่ยนระบอบปกครองเป็นจักรวรรดิ    มีจักรพรรดิเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด จักรพรรดิได้แต่งตั้งชาวโรมันปกครองอาณานิคมต่างๆ โดยตรง ทำให้สามารถควบคุมดินแดนต่างๆ และส่งผลให้จักรวรรดิโรมันมีอำนาจยืนยาวหลายร้อยปี  โรมันได้สร้างถนนเชื่อมระหว่างค่ายทหารกับเมืองหลักต่างๆ ในเขตจักรวรรดิ  เชื่อมเมืองหลักเหล่านี้กับกรุงโรม จนมีคำขวัญว่า “ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม


การสถาปนาจักรวรรดิโรมัน   สงครามขยายอำนาจครอบครองดินแดนต่างๆ ทำให้เกิดผู้นำทางการทหารซึ่งได้รับความจงรักภักดีจากทหารของตน เกิดการแก่งแย่งอำนาจกันระหว่างกลุ่มผู้นำกองทัพกับสมาชิกสภาซีเนตซึ่งคุมอำนาจปกครองอยู่เดิม
ในปี 46 ก่อนคริสต์ศักราช จูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar)แม่ทัพโรมันซึ่งมีฐานอำนาจอยู่ที่แหลมอิตาลี สเปน กรีก และอียิปต์ ได้เข้าควบคุมกรุงโรม ปีต่อมาเขาได้รับการสถาปนาเป็นผู้เผด็จการ (Dictator) และมีอำนาจสูงสุดเทียบเท่ากษัตริย์ ขณะนั้นโรมันยังคงปกครองในระบอบสาธารณรัฐ แต่อำนาจขององค์กรการเมืองถูกลิดรอน เช่น การเพิ่มจำนวนสมาชิกในสภาซีเนตจากเดิมซึ่งมีเพียง 300 คน เป็น 900 คน และยังอนุญาตให้สมาชิกมาจากพลเมืองกลุ่มอื่นๆ ได้นอกเหนือจากเดิมที่สงวนให้เฉพาะกลุ่มชนชั้นสูงเท่านั้น นอกจากนี้ซีซาร์ยังให้สถานะ “พลเมืองโรมัน” แก่ประชาชนทั่วไปตามเขตต่างๆ มากขึ้น นโยบายดังกล่าวช่วยเพิ่มอิทธิพลและอำนาจของซีซาร์ เป็นเหตุให้มีผู้อิจฉาริษยาอำนาจของเขา ซีซาร์ถูกลักลอบสังหารเมื่อปี 44 ก่อนคริสต์ศักราช
ต่อมาในปี 27 ก่อนคริสต์ศักราช ออคเตเวียน (Octavian) หลานชายของซีซาร์ได้เปลี่ยนแปลงระบอบสาธารณรัฐเป็นระบอบจักรวรรดิ และสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิออกุสตุส (Augustus) ครองอำนาจระหว่างปี 27-14 ก่อนคริสต์ศักราช พระองค์ทรงเป็นทั้งประมุขสูงสุดที่มีอำนาจปกครองด้านบริหารและนิติบัญญัติ รวมทั้งเป็นจอมทัพอีกด้วย ในสมัยจักรพรรดิออกุสตุสนี้จักรวรรดิโรมันได้ขยายอำนาจออกไปไกลถึงสเปน ซีเรีย เขตลุ่มแม่น้ำไรน์ และแม่น้ำดานูป ตลอดจนถึงเขตทะเลทรายซาฮาราในทวีปแอฟริกา ระหว่าง ค.ศ.117-180 จักรวรรดิโรมันเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด สามารถขยายอิทธิพลครอบครองดินแดนมากกว่าครึ่งหนึ่งของภาคพื้นทวีปยุโรป รวมทั้งเกาะอังกฤษ (ยกเว้นสกอตแลนด์) ส่วนทางด้านตะวันออกก็สามารถขยายอิทธิพลต่อเนื่องไปจนถึงดินแดนเมโสโปเตเมียและอาร์เมเนีย ความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิโรมันส่งผลให้อารยธรรมโรมันแพร่เข้าไปในดินแดนต่างๆ โดยเฉพาะทวีปยุโรปซึ่งรับความเจริญจากอารยธรรมโรมันทั้งด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ และสังคม
ใน ค.ศ. 324 จักพรรดิคอนสแตนติน (Constantine) ได้ปกครองจักวรรดิโรมัน และเกิดเหตุการณ์สำคัญ 2 เหตุการณ์ คือ
เหตุการณ์แรก ได้แก่การย้ายศูนย์กลางการปกครองจากกรุงโรมไปยังกรุงคอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) เรียกว่าจักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine) เมื่อ ค.ศ. 330 ทำให้จักรวรรดิโรมันถูกแบ่งแยกเป็น 2 ส่วน คือ จักรวรรดิโรมันตะวันตก ซึ่งยังคงมีศูนย์กลางที่กรุงโรม และจักรวรรดิไบแซนไทน์หรือหรือจักรวรรดิโรมันตะวันออก  มีศูนย์กลางที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล (ปัจจุบันคือนครอิสตันบูลในประเทศตุรกี) ส่งผลให้จักรวรรดิโรมันเสื่อมอำนาจลงและถูกรุกรานในเวลาต่อมา
เหตุการณ์ที่ 2 คือการที่จักรพรรดิคอนสแตนตินหันไปนับถือศาสนาคริสต์และทำให้คริสต์ศาสนาแพร่หลายในเขตจักรวรรดิโรมัน และกลายเป็นศาสนาหลักของโลกตะวันตกในเวลาต่อมา
ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 5 จักรวรรดิโรมันถูกแบ่งแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง จักวรรดิโรมันตะวันตกอ่อนแอลงตามลำดับเพราะถูกทำลายโดยพวกอารยชนสำคัญ 2 เผ่า คือ เผ่าเยอรมันซึ่งมาจากทางเหนือของแม่น้ำไรน์และแม่น้ำดานูบ และพวกฮัน (Huns) ซึ่งเป็นเชื้อสายเอเชียมาจากทางเหนือของทะเลดำ พวกเยอรมันโจมตีกรุงโรมได้ใน ค.ศ. 410 และปล้นสะดมทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้เกิดความระส่ำระสายขึ้นในจักรวรรดิโรมันตะวันตก ในที่สุดจักรพรรดิองค์สุดท้ายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกก็ถูกโค่นใน ค.ศ. 476 ซึ่งนักประวัติศาสตร์ถือว่าเป็นปีที่จักรวรรดิโรมันล่มสลาย แม้ว่าจักรวรรดิไบแซนไทน์ยังดำรงอยู่ต่อไปก็ตาม
มรดกของอารยธรรมโรมัน
ด้านการปกครอง อารยธรรมด้านการปกครองเป็นภูมิปัญญาของชาวโรมันที่ได้พัฒนาระบอบการปกครองของตนขึ้นเป็นระบอบสาธารณรัฐและจักรวรรดิ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับจักรวรรดิโรมัน จุดเด่นของการปกครองแบบโรมัน คือการให้พลเมืองมีส่วนร่วมในการบริหารราชการส่วนกลาง และการปกครองโดยใช้หลักกฎหมาย
การปกครองส่วนกลาง พลเมืองโรมันแต่ล่ะกลุ่ม ทั้งชนชั้นสูง สามัญชน และทหาร ต่างมีโอกาสเลือกผู้แทนของตนเข้าไปบริหารประเทศรวม 3 สภา คือ สภาซีเนต (Senate) ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มแพทริเซียน (Patricians) หรือชนชั้นสูง สภากองร้อย (Assembly of Centuries) ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มทหารเหล่าต่างๆ และราษฎร (Assembly of Tribes) ซึ่งเป็นตัวแทนของพวกพลีเบียน (Ple-beians) หรือสามัญชนเผ่าต่างๆ รวม 35 เผ่า แต่ละสภามีหน้าที่และอำนาจแตกต่างกัน รวมทั้งการคัดเลือกเจ้าหน้าที่ไปบริหารงานส่วนต่างๆ แต่โดยรวมแล้วสภาซีเนตมีอำนาจสูงสุด เพราะได้ควบคุมการปกครองทั้งด้านบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ตลอดจนกำหนดนโยบายต่างประเทศด้วย
กฎหมายโรมัน โรมันมีกฎหมายมาตั้งแต่สมัยสาธารณรัฐ ในระยะแรกกฎหมายไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์ การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปตามวินิจฉัยของผู้พิพากษาซึ่งเป็นกลุ่มชนชั้นสูง ดังนั้นพวกสามัญชนจึงเรียกร้องให้เขียนกฎหมายเป็นลายลักษณ์ ซึ่งต่อมาได้แกะสลักบนแผ่นไม้รวม 12 แผ่นเรียกว่า กฎหมายสิบสองโต๊ะ (Twelve Tables) ความโดดเด่นของกฎหมายโรมันคือ ความทันสมัย เพราะมีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับโครงสร้างการปกครองที่เปลี่ยนเป็นระบอบจักรวรรดิและสภาพแวดล้อมของประชาชนในทุกส่วนของจักรวรรดิ นอกจากนี้ตุลาการชาวโรมันยังมีส่วนทำให้เกิดการยอมรับหลักการพื้นฐานของกฎหมายว่า ประชาชนทุกคนมีความเสมอภาคกันภายใต้กฎหมาย ซึ่งรวมถึงกระบวนการยุติธรรมที่ยึดเป็นแบบอย่างปฏิบัติต่อมาถึงปัจจุบันคือ ให้สันนิษฐานว่าผู้ต้องหาทุกคนเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ก่อน จนกว่าจะมีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่ามีการกระทำความผิด
ด้านเศรษฐกิจ  จักรวรรดิโรมันมีนโยบายส่งเสริมการผลิตทางด้านเกษตรกรรม และอุตสากหรรม รวมทั้งการค้ากับดินแดนภายในและภายนอกจักรวรรดิ
ด้านเกษตรกรรม เดิมชาวโรมันในแหลมอิตาลีประกอบเกษตรกรรมเป็นหลัก และพึ่งพิงการผลิตภายในดินแดนของตน ต่อมาเมื่อจักรวรรดิโรมันขยายอำนาจออกไปครอบครองดินแดนอื่นๆ การเพาะปลูกพืชและข้าวในแหลมอิตาลีเริ่มลดลง เนื่องจากรัฐส่งเสริมให้ดินแดนอื่นๆ นอกแหลมอิตาลีปลูกข้าว โดยวิธีการปฏิรูปที่ดิน ดินแดนที่ปลูกข้าวส่วนใหญ่อยู่ในแคว้นกอล (Gaull) เขตประเทศฝรั่งเศสปัจจุบัน และตอนเหนือของแอฟริกา ส่วนพื้นที่การเกษตรในแหลมอิตาลีส่วนใหญ่เปลี่ยนไปทำไร่องุ่นและเลี้ยงสัตว์
ด้านการค้า การค้าในจักรวรรดิโรมันรุ่งเรืองมาก มีทั้งการค้ากับดินแดนภายในและนอกจักรวรรดิ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การค้าเจริญรุ่งเรือง ได้แก่ ขนาดของดินแดนที่กว้างใหญ่และจำนวนประชากร ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่สามารถรองรับสินค้าต่างๆได้มาก นอกจากนี้การจัดเก็บภาษีการค้าก็อยู่ในอัตราต่ำและยังมีการใช้เงินสกุลเดียวกันทั่วจักรวรรดิ ประกอบกับภายในจักวรรดิโรมันมีระบบคมนาคมขนส่งทางบก คือ ถนนและสะพานที่ติดต่อเชื่อมโยงกับดินแดนต่างๆ ได้สะดวก ทำให้การติดต่อค้าขายสะดวกรวดเร็ว การค้ากับดินแดนนอกจักรวรรดิโรมันที่สำคัญได้แก่ ทวีปเอเชีย โดยเฉพาะการค้ากับอินเดียซึ่งส่งสินค้าประเภทเครื่องเทศ ผ้าฝ้าย และสินค้าฟุ่มเฟือยต่างๆ สำหรับชนชั้นสูงเข้ามาจำหน่าย โดยมีกรุงโรมและนครอะเล็กซานเดรียในอียิปต์เป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญ

ด้านอุตสาหกรรม ความรุ่งเรืองทางกาค้าของจักรวรรดิโรมันส่งเสริมให้มีการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมอย่างกว้างขวาง ดินแดนที่มีการประกอบอุตสาหกรรมที่สำคัญได้แก่ แหลมอิตาลี สเปน และแคว้นกอล ซึ่งผลิตสินค้าประเภทเครื่องปั้นดินเผาและสิ่งทอ อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมในเขตจักรวรรดิโรมันส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็กที่ใช้แรงงานคนเป็นหลัก
ด้านสังคม จักรวรรดิโรมันมีความเจริญด้านสังคมมาก ที่สำคัญได้แก่ ภาษา การศึกษา วรรณกรรม การก่อสร้าง และสถาปัตยกรรม วิทยาการต่างๆ และวิถีดำรงชีวิตของชาวโรมัน
ภาษาละติน ชาวโรมันพัฒนาภาษาละตินจากตัวพยัญชนะในภาษากรีกที่พวกอีทรัสคันนำมาใช้ในแหลมอิตาลี ภาษาละตินมีพยัญชนะ 23 ตัว ใช้กันแพร่หลายในมหาวิทยาลัยของยุโรปสมัยกลาง และเป็นภาษาทางราชการของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกมาจนถึงศตวรรษ 1960 นอกจากนี้ภาษาละตินยังเป็นภาษากฎหมายของประเทศในยุโรปตะวันตกนานหลายร้อยปีและเป็นรากของภาษาในยุโรป ได้แก่ ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส และโรมาเนีย ภาษาละตินยังถูกนำไปใช้เป็นชื่อทางวิทยาศาสตร์เช่นเดียวกับภาษากรีกด้วย
การศึกษา โรมันส่งเสริมการศึกษาแก่ประชาชนของตนทั่วจักวรรดิในระดับประถมและมัธยม โดยรัฐจัดให้เยาวชนทั้งชายและหญิงที่มีอายุ 7 ปี เข้าศึกษาในโรงเรียนประถมโดยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน ส่วนการศึกษาระดับมัธยมเริ่มเมื่ออายุ 13 ปี วิชาที่เยาวชนโรมันต้องศึกษาในระดับพื้นฐาน ได้แก่ ภาษาละติน เลขคณิต และดนตรี ผู้ที่ต้องการศึกษาวิทยาการเฉพาะด้าน ต้องเดินทางไปศึกษาตามเมืองที่เปิดสอนวิชานั้นๆ โดยเฉพาะ เช่น กรุงเอเธนส์สอนวิชาปรัชญา นครอะเล็กซานเดรียสอนวิชาการแพทย์ ส่วนกรุงโรมเปิดสอนวิชากฎหมาย คณิตศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์
ด้านวรรณกรรม โรมันได้รับอิทธิพลด้านวรรณกรรมจากกรีก ประกอบกับได้รับการส่งเสริมจากจักรพรรดิโรมัน จึงมีผลงานด้านวรรณกรรมจำนวนมากทั้งบทกวีและร้อยแก้ว มีการนำวรรณกรรมกรีกมาเขียนเป็นภาษาละตินเพื่อเผยแพร่ในหมู่ชาวโรมัน และยังมีผลงานด้านประวัติศาสตร์ นักประวัติศาสตร์โรมันที่มีชื่อเสียงคือ แทซิอุส (Tacitus) ซึ่งวิพากษ์การใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยของชาวโรมัน ส่วนกวีที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของโรมันคือ ซิเซโร (Cicero) ซึ่งมีผลงานจำนวนมากรวมทั้งการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง
การก่อสร้างและสถาปัตยกรรม ผลงานด้านการก่อสร้างเป็นมรดกที่ยิ่งใหญ่ของชาวโรมัน โรมันเรียนรู้พื้นฐานและเทคนิคการก่อสร้าง การวางผังเมืองและระบบระบายน้ำจากกรีกจากนั้นได้พัฒนาระบบก่อสร้างของตนเอง ชาวโรมันได้สร้างผลงานไว้เป็นจำนวนมาก เช่น ถนน สะพาน ท่อส่งน้ำประปา อัฒจันทร์ครึ่งวงกลม สนามกีฬา ฯลฯ อนึ่ง ในสมัยนี้มีการใช้ปูนซีเมนต์เป็นวัสดุก่อสร้างอย่างแพร่หลาย นอกจากผลงานด้านการก่อสร้างแล้ว โรมันยังมีผลงานด้านสถาปัตยกรรมซึ่งได้รับยกย่องว่าเป็นศิลปกรรมที่งดงามจำนวนมาก เช่น พระราชวัง วิหาร โรงละครสร้างเป็นอัฒจันทร์ครึ่งวงกลม ฯลฯ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโรมันจะรับสถาปัตยกรรมกรีกเป็นต้นแบบงานสถาปัตยกรรมของตน แต่ชาวโรมันก็ได้พัฒนารูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของตนด้วย เช่น ประตู วงโค้ง และหลังคาแบบโดม


ด้านวิทยาการต่างๆ ชาวโรมันไม่ได้พัฒนาความเจริญก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์มากนัก แต่ได้สร้างคุณูปการสำคัญให้แก่ชาวโลกซึ่งได้แก่การรวบรวมและบันทึกวิทยาการต่างๆ ที่ได้รับมาและตกทอดเป็นมรดกแก่ชาวโลก เช่น ตำราด้านการแพทย์ ดาราศาสตร์ เกษตรศาสตร์ สัตวแพทย์ ฯลฯ อย่างไรก็ตามการแพทย์และสาธารณสุขของโรมันนับว่าก้าวหน้ามาก แพทย์โรมันสามารถผ่าตัดรักษาโรคได้หลายโรค โดยเฉพาะการผ่าตัดทำคลอดทารกจากทางหน้าท้องของมารดา ซึ่งเรียกว่า ศัลยกรรมซีซาร์ (Caesarean Operation) นอกจากนี้ยังมีการสร้างโรงพยาบาลระบบบำบัดน้ำเสียและสิ่งปฏิกูล
วิถีชีวิตของชาวโรมัน  ความเจริญรุ่งเรืองของจักรวรรดิโรมัน ทำให้ชนชั้นสูงชาวโรมันและผู้มีฐานะมั่งคั่งดำรงชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยหรูหรา ทั้งการสร้างคฤหาสน์ที่โอ่อ่า สุขสบาย มีสิ่งบำเรอความสะดวกครบถ้วน ลักษณะเด่นที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตที่หรูหราของชาวโรมันคืออ่างอาบน้ำ ซึ่งมีทั้งที่อยู่ในบ้านและที่อาบน้ำสาธารณะ ในทางตรงข้ามประชาชนส่วนใหญ่มีฐานะยากจน โดยเฉพาะในกรุงโรมมีคนจนจำนวนมากซึ่งมีชีวิตยากจน ส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้างและขาดสวัสดิการ ลักษณะเช่นนี้สะท้อนถึงปัญหาสังคมของเมืองใหญ่ที่เจริญก้าวหน้าทางด้านวัตถุ แต่มักประสบปัญหาด้านคุณภาพชีวิตของประชาชน





ศึกษาเพิ่มเติม     อารยธรรมจีน  คลิ๊กที่นี่


ศึกษาเพิ่มเติม   อารยธรรมอินเดีย  คลิ๊กที่นี่

ศึกษาเพิ่มเติม อารยธรรมเมโสโปเตเมีย  คลิ๊กที่นี่

ศึกษาเพิ่มเติม อารยธรรมกรีก  คลิ๊กที่นี่

ศึกษาเพิ่มเติม อารยธรรมโรมัน  คลิ๊กที่นี้

1 ความคิดเห็น:

  1. สรุปอารยธรรมได้ดีมากครับ
    https://world-all-knowledge3.blogspot.com/p/the-world-s-first-civilization-rivers.html

    ตอบลบ