หน่วยการเรียนรู้ที่ 1


ใบความรู้ที่  1
วิชา สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม       ส 33101                                                         ชั้น ม. 6                                 
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 กระบวนการทางประวัติศาสตร์      เรื่อง การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
          ยุคสมัย คือ ช่วงเวลาที่กำหนดเพื่อเป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ที่เชื่อมโยงส่งผลถึงเหตุการณ์ที่เกิดตามมา
                การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์แบบสากล นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีได้แบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ตามลักษณะหลักฐานซึ่งกำหนดยุคสมัยออกเป็น 2 สมัย คือ
 1. สมัยก่อนประวัติศาสตร์ คือ สมัยที่มนุษย์ยังไม่มีลายลักษณ์อักษร   ต้องศึกษาจากเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ที่เรียกว่า หลักฐานทางโบราณคดี  ส่วนใหญ่เป็นเครื่องมือที่ทำด้วยหินจึงเรียกว่า ยุคหิน  ต่อมาใช้โลหะ เรียกว่า ยุคโลหะ    สังคมมนุษย์ในยุคสมัยนี้เป็นกลุ่มเล็ก ๆ   ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์  เก็บของป่า  ต่อมาเริ่มรู้จักการเพาะปลูก  เลี้ยงสัตว์โดยพึ่งพาธรรมชาติ  การแบ่งยุคสมัย ถ้าแบ่งตามเทคโนโลยี ดังนี้  
ยุคหินเก่า (ประมาณ 500,000 ถึง 10,000 ปีมาแล้ว)
ยุคหินกลาง (ประมาณ 10,000 ถึง 6,000 ปีมาแล้ว)
ยุคหินใหม่ (ประมาณ 6,000 ถึง 4,000 ปีมาแล้ว)
ยุคโลหะ (ประมาณ 4,000 ถึง 1,500 ปีมาแล้ว) ได้แก่ ยุคทองแดง  ยุคสำริด                  ยุคเหล็ก
ยุคหินเก่า  เป็นยุคที่มนุษย์รุ่นแรกทำเครื่องมือด้วยหินกะเทาะเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน  หลักฐานกระดูกที่เก่าที่สุด พบที่ประเทศชาด  ในทวีปที่แอฟริกา  ส่วนกะโหลกศีรษะมนุษย์ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดคือ กะโหลกศีรษะมนุษย์ซาเฮเลนโทรปัส  ชาดเด็นซิส  ส่วนบรรพบุรุษที่เก่าแก่ที่สุดคือ มนุษย์โฮโม  ฮาบิลิส   
              มนุษย์ในยุคหินเก่าตอนต้น  ใช้เครื่องมือหินกำปั้น  เครื่องมือสับตัด
              มนุษย์ในยุคหินเก่าตอนกลาง เป็นมนุษย์นีแอนเดอร์ทัล  ทำเครื่องมือสะเก็ดหินด้วยเทคนิคการเตรียมแกนหิน เรียกว่า  วัฒนธรรมมุสเตอเรียน  หินมีลักษณะแหลมคม  มีด้ามยาว มีประโยชน์ในการใช้สอยมากขึ้น
             มนุษย์ในยุคหินเก่าตอนปลาย  เป็นมนุษย์โครมันยอง  ทำเครื่องมือหินแบบใบมีด   มีเข็มเย็บผ้า  ฉมวก  หัวลูกศร  ทำเครื่องประดับด้วยเปลือกหอยและกระดูกสัตวื
สรุป มนุษย์หินเก่า ทำเครื่องมือหินกะเทาะแบบต่างๆ ที่ทำมาจากกระดูก  เขาสัตว์  ไม้  ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์  จับปลา  เก็บของป่า  อยู่ตามถ้ำ  ไม่มีที่อยู่ที่แน่นอน แสวงหาที่อุดมสมบูรณ์ไปเรื่อยๆ   อาศัยรวมกันเป็นกลุ่ม  ต่อมาจึงรู้จักทำที่กับดักเพื่อล่าสัตว์  มีเขียนภาพตามผนังถ้ำ   ใช้สีฝุ่นเช่น สีดำ  น้ำตาล  ส้ม  แดงอ่อน  เหลือง  ภาพที่วาดส่วนใหญ่เป็นภาพสัตว์ป่า เช่น วัวกระทิง  ม้าป่า   กวางแดง  กวางเรนเดียร์  ภาพวาดที่มีชื่อเสียงคือที่ถ้ำกลาสโก   ประเทศฝรั่งเศส
ยุคหินกลาง  เริ่มมีการเพาะปลูก  เลี้ยงสัตว์ เช่นพบหลักฐานทางตะวันตกสุดของเอเซีย   สมัยนี้เครื่องมือหินมีขนาดเล็กขึ้น มีความประณีตมาก  สมัยนี้เริ่มมีการจักสาน  แต่ก็ยังล่าสัตว์  เหมือนเดิม
ยุคหินใหม่  มีการเพาะปลูกข้าวสาลี  ข้าวบาร์เลย์  ข้าวฟ่าง  ข้าวเจ้า เลี้ยงแพะ  แกะ  ม้า  หมู  สุนัข  พบหลักฐานของหมู่บ้านที่มีการเพาะปลูกรุ่นแรก คือที่ประเทศอิสราเอล  ประเทศปาเลสไตน์  ประเทศอิรัก  ประเทศตุรกี  หรือเป็นบริเวณที่เรียกว่า  ลีเวนต์   ต่อมาขยายมาทางเอเซียใต้ ที่เมืองเมร์การ์  ประเทศปากีสถาน   มนุษย์ในยุคหินใหม่ เป็นสังคมเมือง เป็นหมู่บ้านเกษตรกรรม ตั้งบ้านเรือนฝั่งแม่น้ำ  มีภาชนะดินเผา  มีความเชื่อและประกอบพิธีกรรมในรูปแบบต่างๆ   เช่น สโตนเฮนจ์ในประเทศอังกฤษ
ยุคโลหะ  เป็นสมัยที่มนุษย์นำโลหะมาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ทั้งทองแดง  สำริด(ทองแดงผสมดีบุก)  และเหล็ก  สำริดที่เก่าที่สุดพบที่วัฒนธรรมเมย์กอฟ  เทือกเขาคอเคซัสและตะวันออกกลาง  สำหรับยุคเหล็ก  นั้น มนุษย์นำเหล็กมาเป็นเครื่องมือและอาวุธ  บางพื้นที่ไม่พบหลักฐานยุคเหล็ก คือที่อเมริกากับออสเตรเลีย   เหล็กพบแห่งแรกที่ อียิปต์โบราณ

2.  สมัยประวัติศาสตร์  สมัยนี้กำหนดจากการที่มนุษย์เริ่มประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้มีความเจริญมากขึ้น  นักประวัติศาสตร์ชาติตะวันตกได้แบ่งยุคสมัยนี้ออกเป็นสมัยต่างๆ คือ     
 
  1. สมัยโบราณ เป็นยุคที่มนุษย์พัฒนาจากชุมชนเล็ก ๆ เป็นเมืองในดินแดนต่างๆ เริ่มต้นที่อารยธรรมเมโสโปเตเมีย  ชาวสุเมเรียนรู้จักการประดิษฐ์ตัวลิ่มหรืออักษรคูนิฟอร์ม   ส่วนชาวอียิปต์ประดิษฐ์อักษรภาพที่เรียกว่าอักษะเฮียโรกลิฟฟิค  การใช้อักษรจึงเป็นการสื่อสารที่ทำให้เกิดการพัฒนาเร็วขึ้น  สมัยโบราณจึงเป็นการเริ่มสร้างความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมต่างๆ ของโลก  ได้แก่ อารยธรรมเมโสโปเตเมีย  อารยธรรมลุ่มแม่น้ำไนล์  อารยธรรมกรีก-โรมัน  อารยธรรมจีนและอารยธรรมอินเดีย  ประวัติศาสตร์สากลในซีกโลกตะวันตกก็ล่มสลายด้วยอาณาจักรโรมันตะวันตกถูกอนารยชนเข้ารุกราน

 2.  สมัยกลาง   เมื่ออาณาจักรโรมันตะวันตกเสื่อมสลาย   เพราะการรุกรานของอนารยชนเผ่าต่างๆ  ทำให้มีแคว้นใหม่ๆ เกิดขึ้น   ขณะเดียวกันเป็นช่วงที่ศาสนาคริสต์ได้แผ่เข้าครอบคลุมทุกด้าน    พระสันตปาปามีอำนาจและอิทธิพลเหนือกษัตริย์ทั้งการเมือง  เศรษฐกิจ  สังคมวัฒนธรรมและการศึกษา    เป็นสมัยที่ขุนนางมีอำนาจ เรียกว่า ศักดินาสวามิภักดิ็   สังคมยุคนี้จึงเป็นสังคมระบบฟิวดัล   ประชาชนเป็นทาสติดที่ดินที่เรียกว่า เซิฟ (serf)    ศาสนาอิสลามได้เข้ามามีผลกระทบชาวคริสต์จึงทำให้เกิดสงครามครูเสด ใช้เวลาต่อสู้ยาวนานมาก   ตั้งแต่ปลายคริสตศตวรรษที่ 11-13  มีผลทำให้การค้าขายที่ใช้เส้นทางสายไหมไม่ปลอดภัย   จึงเกิดการสำรวจทางทะเล  ตอนปลายยุคสมัยพวกเติร์กเข้ารุกรานกรุงคอนสแตนติโนเปิล แห่งโรมันตะวันออก  ยุคสมัยกลางหรือยุคมืด  เริ่มตั้งแต่สิ้นสุดโรมันตะวันตก ถึงการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันออกซึ่งมีกรุงคอนสแตนติโนเปิลเป็นศูนย์กลางใน ค.ศ. 1453

 3. สมัยใหม่  เป็นสมัยที่ประเทศยุโรปเจริญด้วยวิทยาการทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  เป็นยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ   ยุคแห่งการค้นพบ     ยุคสำรวจทางทะเล    ยุคปฏิวัติวิทยาศาสตร์   ปฏิวัติอุตสาหกรรม  ทำให้อังกฤษ  ฝรั่งเศส   เยอรมัน  อิตาลี  และอีกชาติเป็นผู้นำของโลก  จึงเกิดเป็นลัทธิจักรวรรดินิยม   จนกระทั้งเกิดความขัดแย้งนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 และ  ครั้งที่  2   ยุคสมัยใหม่เป็นรากฐานสำคัญของสังคมปัจจุบัน

 4. สมัยปัจจุบัน   เป็นช่วงที่สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของโลกที่แตกต่างทางการเมือง คือประชาธิปไตยกับคอมมิวนิสต์  จึงเป็นเหตุการณ์ที่เรียกว่า สงครามเย็น  จนกระทั่งเกิดการล่มสลายของสหภาพโซเวียต  สงครามเย็นจึงสิ้นสุด

              5. สมัยโลกาภิวัตน์ ในศตวรรษที่ 21   เป็นยุคที่มีความก้าวหน้าทางข้อมูลข่าวสารที่เรียกว่า ยุค ICT   ประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้รับกระแสทุนนิยมตามแบบสหรัฐอเมริกา  จึงมีการแข่งขันกันสูงมากในปัจจุบัน  ประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก็จะได้เปรียบ   ผู้ที่มีทุนความรู้สูง  ภาษาดี   คล่องทางเทคโนโลยี   สามารถใช้พื้นฐานเหล่านี้นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจที่ไร้พรมแดน  โดยไม่จำกัดเวลา  สถานที่


สมัยโบราณ
(3,500 ปี ก่อนคริสตกาล-คศ.476)
สมัยกลาง
(คศ 476 – คศ  1492)
สมัยใหม่
(คศ 1492 –คศ  1945)
สมัยปัจจุบัน
(คศ 1945 – ปัจจุบัน)
-ลุ่มแม่น้ำไทกริส
 –ยูเฟรติส  
                
-ลุ่มแม่น้ำไนล์
  อารยธรรมอียิปต์
-อารยธรรมกรีก  อีเจียน
-อารยธรรมโรมัน
   จักรวรรดิโรมันขยายอาณาเ   รอบทะเลเมดิเตร์เรเนียน
การสิ้นสุดสมัยโบราณ                    คือการอาณาจักรโรมัน
เสื่อม
-เป็นสมัยที่ศาสนาคริสต์มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิต
-ขุนนางมีอำนาจมาก เรียกว่าระบบศักดินาสวามิภักดิ์
(Fuldalism)
-มีสงครามครูเสดเป็นความขัดแย้งระหว่างศาสนาคริสต์กับศาสนาอิสลาม 
-ผลกระทบจากสงครามครูเสดทำให้เส้นทางการค้าสายไหมไม่ปลอดภัย  จึงต้องการค้นหาเส้นทางการค้าทางทะเล มีผลทำให้เกิดการค้นพบวิทยาการ
-การสื้นสุดสมัยกลางคือการสำรวจทางทะเล  การค้นพบโลกใหม่
-สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ
-การปฏิวัติวิทยาศาสตร์
-การปฏิบัติอุตสาหกรรม
-สงครามโลกครั้งที่ 1
  สงครามโลกครั้งที่ 2
-การสิ้นสุดสมัยใหม่คือสงครามโลกครั้งที่ 2  ยุติลง
-สงครามเย็น
-สงครามตัวแทน
-การล่มสลายของสหภาพเซียต
-การประกาศสงครามกับขบวนการก่อการร้ายของสหรัฐอเมริกา

                   การศึกษาประวัติศาสตร์สากลมีความแตกต่างกันระหว่างประวัติศาสตร์ตะวันตกกับประวัติศาสตร์ตะวันออก   ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นแนวของประวัติศาสตร์ตะวันตก ซึ่งใช้เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์เป็นเกณฑ์     สำหรับประวัติศาสตร์ตะวันออกจะแบ่งยุคสมัยตามช่วงเวลาของแต่ละราชวงศ์หรือศูนย์กลางอำนาจเป็นเกณฑ์  เช่น ประวัติศาสตร์จีนใช้เกณฑ์ช่วงเวลาของแต่ละราชวงศ์   เป็นต้น

การแบ่งยุคสมัยของประวัติศาสตร์จีน

               ช่วงเวลาเริ่มต้นของอารยธรรมจีน ก็เริ่มต้นจากยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ คือ ต้องอาศัยหลักฐาน  เช่น                        วัฒนธรรมหยางเชา     วัฒนธรรมหลงชาน  ซึ่งพบหลักฐานที่เป็นเครื่องปั้นดินเผา   โลหะสำริด บริเวณลุ่มแม่น้ำฮวงโหและลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง       ส่วนยุองคสมัยประวัติศาสตร์ ของจีน       จีนแบ่งประวัติศาสตร์เป็นจีนสมัยโบราณ    จีนสมัยกลาง    จีนสมัยใหม่    และจีนสมัยปัจจุบัน  ดังนี้
จีนสมัยโบราณ   เริ่มที่ราชวงศ์ชาง เป็นระยะเวลาที่จีนก่อตัวเป็นอาณาจักร  มีการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม มีการประดิษฐ์ตัวอักษรบนกระดองเต่า   ต่อมาเปลี่ยนอำนาจมาที่ราชวงศ์โจว   ราชวงศ์จิ้น   ราชวงศ์ฮั่น  ซึ่งสมัยราชวงศ์ฮั่นเป็นยุคที่มีการรวมอำนาจเป็นจักรวรรดิ  ซึ่งจีนใช้ระบบนี้มายาวนานถึง 2,000 ปี
จีนสมัยกลาง  เป็นช่วงที่จีนได้รับอิทธิพลจากต่างชาติ คือพระพุทธศาสนาจากอินเดีย  มีความแตกแยกทางเมืองหลังจากราชวงศ์ฮั่นเสื่อม   ต่อมาจึงรวมอำนาจได้ในสมัยราชวงศ์สุย   ตามด้วยราชวงศ์ถัง ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่เจริญรุ่งเรืองสูงสุด  แต่ก็แตกแยกในภายหลัง   ราชวงศ์ซ้องหรือซ่ง ได้รวมอำนาจทำให้จีนยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง  มีความเจริญรุ่งเรืองทางศิลปวัฒนธรรม   ต่อมาชาวมองโกลก็เข้ามายึดครองตั้งราชวงศ์หยวน
จีนสมัยใหม่   ราชวงศ์หมิงได้ขับไล่พวกมองโกลออกไป  ต่อมาแมนจูก็เข้าปกครองจีนตั้งราชวงศ์ชิงขึ้นมาสมัยแมนจู ประเทศจีนมีความสำเร็จในหลายด้าน  แต่ปลายราชวงศ์ชิง   จีนพ่ายแพ้สงครามกับอังกฤษในสงครามฝิ่น  แล้วราชวงศ์ชิงกสิ้นสุด
จีนสมัยปัจจุบัน  จีนเปลี่ยนการปกครองมาเป็นแบบสาธารณรัฐ  มีดร.ซุน  ยัต เซนเป็นผู้นำ  มีประธานาธิบดีเป็นประมุข  สมัยนี้จีนได้รับอิทธิพลจากลัทธิคอมมิวนิสต์ที่แพร่มาจากรัสเซีย  เหมา เจ๋อ ตุง เป็นหัวหน้าคอมมิวนิสต์จีน  พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ทำการปฏิวัติและเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ตั้งแต่ ค.ศ. 1949 จนถึงปัจจุบัน 



สมัยโบราณ
(2,200 ปี ก่อนคริสตกาล-คศ.220)
สมัยกลาง
(คศ 220 – คศ  1368)
สมัยใหม่
(คศ 1368 –คศ  1911)
สมัยปัจจุบัน
(คศ 1911 – ปัจจุบัน)
ราชวงศ์ชาง
ราชวงศ์โจว
ราชวงศ์จิ๋น
ราชวงศ์ฮั่น เป็นสมัยที่
เริ่มก่อตั้งเป็นรัฐ  วาง
รากฐานการปกครอง 
เศรษฐกิจ  สังคม จนถึงสมัยที่รวมศูนย์อำนาจจนเป็น
จักรพรรดิ
-เป็นช่วงจีนมีความ
เจริญแถบลุ่มแม่น้ำ
ฮวงโห
-มีปรัชญาจีน คือ ลัทธิ
ขงจื้อ เต๋า
ราชวงศ์สุย
ราชวงศ์ถัง
ราชวงศ์ซ้อง
ราชวงศ์หยวน
-เป็นช่วงที่จีนมีการปรับตัว
รับวัฒนธรรมต่างชาติ
-ศาสนาพุทธมีบทบาทสำคัญ
จีนขับไล่มองโกล
ราชวงศ์หมิง
ราชวงศ์แมนจู
-จีนถูกคุกคามจากชาติตะวันตกและพ่ายแพ้ในสงครามฝิ่นในราชวงศ์ชิง
-จีนปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบสาธารณรัฐ โดย
 ซุน ยัต เซน
-ต่อมาพรรคอมมิวนิสต์มีอำนาจมากขึ้น สามารถเข้ายึดและเปลี่ยนการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์ตั้งแต่ คศง1911  จนถึงปัจจุบัน

  การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์อินเดีย
การแบ่งยุคสมัยงทาประวัติศาสตร์อินเดีย  ใช้เกณฑ์พัฒนาการของอารยธรรมอินเดียและเหตุการณ์สำคัญ  ผู้ที่วางพื้นฐานอารยธรรมอินเดียรุ่นแรกปรากฏพบหลักฐานที่ลุ่มแม่น้ำสินธุ  โดยชาวดราวิเดียน  คือซากเมืองโบราณที่ขุดพบ คือเมืองโมเฮนโจดาโร  และเมืองฮารัปปา  ต่อมามีชาวอารยันอพยพมาจากตะวันตกเข้ามารุกรานและตั้งถิ่นฐาน  ก่อตั้งเป็นอาณาจักร   มีความเชื่อว่าติดต่อกับพระเจ้าได้ จึงเป็นยุคสมัยพระเวท   มีการแบ่งชนชั้นเป็นวรรณะ  
อินเดียสมัยโบราณ   เริ่มต้นสมัยมหากาพย์ที่มีการใช้ตัวอักษรอินเดียโบราณบันทึกเรื่องราว ต่อมาอินเดียรวมตัวตั้งราชวงศ์มคธปกครองอินเดีย   ตามด้วยราชวงศ์เมารยะ ช่วงสมัยนี้อินเดียได้เผยแผ่ศาสนาไปที่ต่างๆ    ต่อมาอินเดียก็ถูกรุกรานจากศัตรูภายนอก    ราชวงศ์คุปตะได้รวมอำนาจขึ้นมาอีกครั้ง
อินเดียสมัยกลาง   มุสลิมเข้ามามีอิทธิพลสูงมาก  สุลต่านแห่งเดลี ปกครองอินเดีย
อินเดียสมัยใหม่ ราชวงศ์โมกุล เข้าปกครองอินเดีย  เป็นสมัยจักรวรรดิโมกุล  จนกระทั่งอังกฤษเข้าปกครองอินเดีย   มีการเรียกร้องเอกราชโดยมหาตะมะ  คานธี   พอสงครามโลกครั้งที่ 2   สิ้นสุด อินเดียจึงได้รับเอกราช
อินเดียสมัยปัจจุบัน  หลังจากได้รับเอกราช  ก็แบ่งประเทศเป็น 3  ประเทศ คือ อินเดีย  ปากีสถาน  บังกลาเทศ


สมัยโบราณ
(2,500 ปี ก่อนคริสตกาล-คศ.535)
สมัยกลาง
(คศ 535 – คศ  1526)
สมัยใหม่
(คศ 1526 –คศ  1947)
สมัยปัจจุบัน
(คศ 1947 – ปัจจุบัน)
-ลุ่มแม่น้ำสินธุ ใน
ประเทศปากีสถาน เป็น
ที่เกิดอารยธรรมอินเดีย
 พบเมืองโมเฮนโจดาโร
และเมืองฮารัปปา  โดย
ชาวพื้นเมืองคือ
ดราวิเดียน
-พวกอินโด –อารยัน
 อพยพเข้ามาตั้งหลัก
แหล่ง จึงขับไล่ชาวพื้น
เมืองลงไปทางใต้ของ
อินเดีย
-ชาวอารยันได้ตั้งตน
เป็นใหญ่ สร้างสรรค์
อารยธรรม ได้แก่          
  คัมภีร์พระเวท 
  มียุคมหากาพย์
มีระบบวรรรณะ
-ได้รวมตัวกันเป็นครั้ง
แรกในราชวงศ์มคธและ
ราชวงศ์เมาริยะ
-มีการเผยแพร่พระพุทธ
ศาสนาไปที่ต่างๆ
-อินเดียเข้าสู่ยุค
แตกแยก ถูกรุกรานจาก
พวกกรีก  พวกกุษาณะ
-มุสลิมเข้ามามีอำนาจเกิดการผสมผสานระหว่างอินเดียกับ
มุสลิม
--สิ้นสุดสมัยกลางคือ สมัยสุลต่านแห่งเดลฮี
-เริ่มสมัยโมกุล เป็นสมัยที่อังกฤษปกครองอินเดีย
-วัฒนธรรมต่างชาติมีบทบาท เช่นวัฒนธรรมเปอร์เซีย
วัฒนธรรมตะวันตก
-มีความขัดแย้งทางศาสนา ส่งผลต่อการแบ่งแยกประเทศหลังจากได้รับเอกราชจากอังกฤษ
-เริ่มตั้งแต่อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการแบ่งแยกเป็นประเทศต่างๆ คือ ประเทศอินเดีย   ปากีสถาน                  บังคลาเทศ




ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น  ใช้พัฒนาการของอารยธรรมและช่วงเวลาตามศูนย์กลางอำนาจการปกครองเป็นเกณฑ์ แบ่งเป็น สมัย คือ  สมัยโบราณ  สมัยกลาง  สมัยใหม่ 


สมัยโบราณ
(7,000 ปี ก่อนคริสตกาล-คศ.600)
สมัยกลาง
(คศ 600 – คศ  1573)
สมัยปัจจุบัน
(คศ 1573 – ปัจจุบัน)
เริ่มสมัยโจมอน จนถึงสมัยโคะฟุง 
เป็นช่วงการก่อตั้งรัฐและจัดระเบียบ
ทางสังคม
เริ่มตั้งแต่สมัยอาสุกะและสมัยเฮฮัน
-เป็นช่วงที่รับอารยธรรมจากจีน
-รับพระพุทธศาสนา
-สมัยคามากุระ  และสมัยมูโรมาจิ เป็นช่วงที่โชกุนตระกูลมินาโมโตและขุนศึกตระกูลอาชิกางะ มีอำนาจ
-มีการแย่งชิงระหว่างตระกูลต่าง ๆ ในการขึ้นมามีอำนาจปกครองประเทศ เรียกว่าสงครามกลางเมือง

-สมัยเอโดะหรือ สมัยโตกูงาวะ
เป็นยุคที่รุ่งเรือง
-สมัยเมจิ มีอำนาจการปกครองที่พระจักรพรรดิ
-มีการปฏิรูปการปกครองให้ทันสมัยแบบตะวันตก
-เป็นสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่2
จนถึงปัจจุบัน




                                                                                      ใบความรู้ที่  2
วิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม     ส 33101                                                                      ชั้น  ม.6                    
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1  กระบวนการทางประวัติศาสตร์                                     เรื่องหลักฐานทางประวัติศาสตร์
......................................................................................................................................................................

              การเขียนประวัติศาสตร์เป็นหน้าที่ของนักประวัติศาสตร์  ที่จะต้องแสวงหาข้อมูล  หลักฐานทางประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในอดีต  ถ้าเป็นอดีตที่ยาวนานมากเป็นสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ก็ต้องอาศัยหลักฐานทางโบราณคดีเท่านั้น   ที่ยังไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร  มีแต่เครื่องมือเครื่องใช้  ภาพวาด  การเล่าเรื่องถ่ายทอดกันมาเป็นตำนาน  นิทานให้เกิดความสนุกสนาน หรือถ้าให้เกิดความศรัทธา  ก็จะนำความเชื่อทางศาสนามาเล่าด้วย  ดังนั้นการใช้หลักฐานเหล่านี้จึงต้องวิเคราะห์  ให้มีความน่าเชื่อถือ   ส่วนยุคสมัยประวัติศาสตร์ที่มีการประดิษฐ์ตัวอักษรแล้ว  การบันทึกระยะแรก  บันทึกบนกระดูกสัตว์     แผ่นดินเผา    หนังสัตว์    ซีกไม้ไผ่        แผ่นศิลา   ต่อมามนุษย์รู้จักใช้กระดาษก็บันทึกเรื่องราวต่างๆ  ได้มาก    เหตุการณ์สำคัญในอดีตที่มีความสำคัญ  ย่อมมีคุณค่าที่จะต้องถ่ายทอดเล่าเรื่องผ่านการบันทึกเป็นประวัติศาสตร์   นักประวัติศาสตร์จึงต้องศึกษาหลักฐานต่าง ๆ  ให้มีความน่าเชื่อถือ อย่างละเอียด ตรงไปตรงมา  ผ่านกระบวนการที่เรียกว่าวิธีการทางประวัติศาสตร์  จึงทำให้งานเขียนประวัติศาสตร์มีความน่าเชื่อถือ  มีเหตุผล
สำหรับไทยก็มีการพบหลักฐานที่เป็นแผ่นศิลา  ต่อมารู้จักกระดาษก็ได้พัฒนามาเป็นจดหมายเหตุ   พงศาวดาร  ปูมโหร  ปูมแพทย์   ใบลานที่นิยมมาบันทึกทางศาสนา  การบันทึกประวัติศาสตร์ไทยระยะแรกมักเขียนโดยขุนนาง จึงเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับราชสำนัก  พระราชกรณียกิจ   ศาสนา    ไม่สนใจวิวัฒนาการความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ  สังคม การเมือง  การบันทึกนั้นจึงไม่พยายามอธิบายสาเหตุหรือผลของเหตุการณ์  จึงมีผลทำให้บันทึกนั้นมีการบิดเบือนเหตุการณ์จริงได้    ความน่าเชื่อถือมีน้อย   ถ้าจะศึกษาก็ต้องหาหลักฐานอื่นๆ มาศึกษา เพื่อหาข้อเท็จจริงต่อไป
หลักฐานทางประวัติศาสตร์จึงมีความสำคัญที่ทำให้งานเขียนประวัติศาสตร์มีความน่าเชื่อถือ   นักประวัติศาสตร์จึงต้องเป็นคนที่มีความรู้  ความชำนาญในการประเมินคุณค่าหลักฐาน   มีจิตสำนึกที่มีความยุติธรรม   ไม่อคติ  เป็นคนมีเหตุผล  เขียนอธิบาย ข้อเท็จจริงอย่างชัดเจน  และต้องหาความรู้เสมอ  พร้อมที่จะแก้ไขผลงานของตนได้เมื่อมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือกว่าหรือมีการตีความใหม่
หลักฐานทางประวัติศาสตร์  มี 2  ประเภท  ดังนี้
หลักฐานชั้นต้น  หรือปฐมภูมิ   
หลักฐานชั้นรองหรือทุติยภูมิ

1. หลักฐานชั้นต้นหรือปฐมภูมิ  เป็นหลักฐานร่วมสมัยของเหตุการณ์  กับบุคคล   เป็นหลักฐานที่มีความน่าเชื่อถือมาก     เช่น
     หลักฐานประเภทวัตถุ  ได้แก่  โบราณสถาน  โบราณวัตถุ   อนุสาวรีย์   ศิลาจารึก   เครื่องมือเครื่องใช้  เครื่องประดับ  เงินตรา  อาวุธ  ซากสิ่งมีชีวิต  เป็นต้น
      หลักฐานประเภทคำบอกเล่า  ได้แก่ นิยาย  นิทาน  ตำนาน  ภาษา เป็นต้น
      หลักฐานประเภทเอกสารที่เกิดขึ้นพร้อมเหตุการณ์   ได้แก่  จดหมาย   รายงาน  คำแถลงการณ์  คำปราศรัย       กฏหมาย  สนธิสัญญา   คำประกาศ   คำพิพากษา   รายงานประจำปี         เป็นต้น 
       หลักฐานประเภทที่บันทึกเหตุการณ์ในทันที เช่น  พงศาวดาร   บันทึกประจำวัน  จดหมายเหตุ  รายงานและคำสัมภาษณ์นักหนังสือพิมพ์  ภาพวาด   ภาพถ่าย  ภาพยนตร์   เทปอัดเสียง   เทปโทรทัศน์    คลิปที่ถ่ายจากเหตุการณ์จริง  เป็นต้น
หลักฐานชั้นต้นเป็นหลักฐานร่วมสมัยที่มีความสำคัญ  มีคุณค่ามาก
2.  หลักฐานชั้นสองหรือทุติยภูมิ   เป็นหลักฐานที่ทำหรือเขียนขึ้นในภายหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยใช้ข้อมูลจากหลักฐานชั้นต้น ส่วนใหญ่เป็นบทความ  หนังสือ  งานวิจัย  วิทยานิพนธ์   เอกสารสัมมนา  หนังสือที่ระลึกงานศพ เป็นต้น     สามารถนำไปใช้ในการอ้างอิง  เช่น  หนังสือแบบเรียน   บรรณานุกรม  สารานุกรม  
หลักฐานชั้นสองมีคุณค่าในฐานะที่มีการวินิจฉัยตีความมากขึ้น


-----------------------------------------------------------------------------------------------------

 ใบความรู้ที่ 3
วิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม     ส 33101                  ชั้น  ม.6                    
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1  กระบวนการทางประวัติศาสตร์               เรื่องวิธีการทางประวัติศาสตร์
......................................................................................................................................................................


วิธีการทางประวัติศาสตร์
นาย เลโอปอล์ด  ฟอน  รังเก (Leopold  Von  Ranke)  เป็นผู้นำหลักการวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในการศึกษาประวัติศาสตร์ เรียกว่า  วิธีการทางประวัติศาสตร์ (Historical  Method)   ทำให้การศึกษาทางประวัติศาสตร์มีระบบ ระเบียบและเป็นที่ยอมรับ
ขั้นตอนวิธีการทางประวัติศาสตร์  มี ดังนี้

1.         การกำหนดหัวเรื่อง
เป็นขั้นตอนแรกที่จะต้องกำหนดประเด็นที่ต้องการศึกษา  อยากรู้  อยากค้นคว้าเพิ่มเติมจากประเด็นที่มีผู้ศึกษามาแล้ว    กำหนดหัวเรื่องประเด็น  เช่น    เกี่ยวกับบุคคลสำคัญ      เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้น    สภาพสังคมในอดีต     ผลกระทบต่อวิกฤตการณ์ต่างๆ      
2.       การรวบรวมหลักฐาน
รวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ต้องการศึกษา  เช่น  ห้องสมุด  หอจดหมายเหตุ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ   แหล่งโบราณคดี   เว็บไซด์   เป็นต้น
3.       การประเมินคุณค่าของหลักฐาน
เป็นขั้นตอนประเมินคุณค่าว่ามีความน่าเชื่อถือและมีคุณค่ามากน้อยเพียงใด มีอยู่ 2 วิธี ดังนี้
3.1     การประเมินภายนอกหรือการวิพากษ์ภายนอก ดูว่า เป็นของจริง  ของปลอม เกิดขึ้นในสมัยนั้นจริงหรือไม่    ผู้เขียนคือใคร  มีวัตถุประสงค์ในการเขียนอย่างไร   ทำเพื่ออะไร   เขียนเมื่อใด  วัตถุที่นำมาศึกษาเป็นอย่างไร
3.2     การประเมินภายในหรือวิพากษ์ภายใน ศึกษาว่าผู้เขียนมีหลักฐานอื่นๆ  ด้วยหรือไม่   เขียนเรื่องราวสอดคล้องหรือไม่  
4.             การตีความหลักฐาน
ข้อมูลที่ผ่านการค้นคว้าและประเมินคุณค่ามาแล้ว ขั้นตอนต่อมาก็คือ การตีความหลักฐาน โดยผู้ตีความต้องไม่ใช้อคติ  ความคิดเห็นส่วนตัวไปตีความเรื่องราวในอดีต    นำมาจัดเรียงเรื่องราว  ผู้ศึกษาต้องนำมาจัดความสัมพันธ์ของหลักฐานอย่างละเอียด  รอบคอบ  ใช้ข้อมูลที่มีความสมบูรณ์ให้เกิดประโยชน์ต่อการลำดับ
5.             การสังเคราะห์ข้อมูล

จัดเป็นขั้นตอนสุดท้ายของวิธีการทางประวัติศาสตร์ ซึ่งผู้ศึกษาค้นคว้าจะต้องเรียบเรียงเรื่อง หรือนำเสนอข้อมูลในลักษณะที่เป็นการตอบหรืออธิบายความอยากรู้ ข้อสงสัย ตลอดจนความรู้ใหม่ ความคิดใหม่ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้านั้นเพื่อให้เห็นความสัมพันธ์และความต่อเนื่อง


..........................................................................................................................................................................................



ใบความรู้ที่ 4
วิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม     ส 33101                                          ชั้น  ม.6                   
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1  กระบวนการทางประวัติศาสตร์               เรื่อง    เวลา   ศักราช ของประวัติศาสตร์
......................................................................................................................................................................
เวลา ในประวัติศาสตร์มีความสำคัญเพราะเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมามีหลายช่วง  การกำหนดเวลาและยุคสมัยจึงมีความจำเป็นให้เกิดความเข้าใจเหตุการณ์ได้ตรงกัน  ได้สะดวก    การศึกษาประวัติศาสตร์สากลใช้คริสตศักราช  คริสต์ศตวรรษ
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับการนับแันละแบ่งช่วงเวลาในระบบต่างๆ  ได้มาจากโบราณวัตถุและโบราณสถานที่พบในดินแดนต่างๆ ของโลก  ทำให้สันนิษฐานว่ามนุษย์ที่อาศัยในยุโรปเมื่อ 20,000  ปี  ได้ขีดเส้นหรือเซาะเป็นร่องบนไม้หรือกระดูกสัตว์  เพื่อนับวันจากรูปร่างของดวงจันทร์ที่เปลี่ยนแปลงไปแต่ละคืน   จากการพบปฏิทินโบราณของชาวสุเมเรียนที่แบ่งช่วงเวลา 1  เดือน มี 30  วัน  ตามการโคจรของดวงจันทร์  ส่วนอิยิปต์โบราณก็จัดทำปฏิทินโดยสังเกตการโคจรของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์  กำหนดให้ 1 ปี มี 365 วัน  



    ยุคอียิปต์โบราณ
                
               อียิปต์โบราณ นับถือดวงอาทิตย์เป็นพระเจ้า ชาวอียิปต์ได้สังเกตความสัมพันธ์ระหว่างการเคลื่อนที่ของ
ดวงอาทิตย์รอบโลกกับการท่วมตลิ่งของแม่น้ำไนล์ในแต่ละปี ซึ่งเป็นสัญญาณเข้าสู่ฤดูกาลใหม่นั้น ชาวอียิปต์สามารถนับวันได้เท่ากัน 365  วันต่อรอบ ถือเป็นต้นกำเนิดของช่วงเวลา 1 ปีมีค่าเท่ากับ 365 วันขึ้น เป็นครั้งแรก
ต่อมาการสังเกตดังกล่าวได้ละเอียดขึ้นเมื่อชาวอียิปต์ได้เริ่มสังเกตการเคลื่อนที่ของดาวโจร หรือดาวซีริอัส ซึ่งเป็นดาวที่สุกสว่างตอนกลางคืน และพบว่า ในวันที่ครบรอบปีในแต่ละปีนั้น ดาวซีริอัสจะเคลื่อนที่มาช้ากว่าเดิมไปประมาณ 6 ชั่วโมง หรือประมาณ 1 ใน 4 วันต่อปี ดังนั้น ชาวอียิปต์จึงได้ปรับปรุงให้ 1 ปี มีค่าเพิ่มขึ้นเป็น 365.25 วัน

         นักวิชาการการหลายคนบอกว่าเสาหิน สโตนเฮนจ์ที่อังกฤษ  เป็นกลุ่มหินที่จัดเรียงเพื่อให้สอดคล้องกับฤดูกาลซึ่งสัมพันธ์กับตำแหน่งดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ในแต่ละช่วงเวลา  ต่อมาได้พัฒนาการนับช่วงเวลา   มีการสร้างนาฬิกาแดด  นาฬิกาน้ำ เพื่อช่วยในการดูเวลา


           สโตนเฮนจ์ ที่อังกฤษ

ศักราช

ศักราชที่ใช้ในการศึกษาประวัติศาสตร์สากล คือ คริสต์ศักราช   คริสต์ศตวรรษ   ฮิจเราะห์ศักราช  
คริสต์ศักราช (ค.ศ. )  
คริสต์ศักราชที่ 1  นับตั้งแต่พระเยซูประสูติซึ่งตรงกับ พ.ศ. 544  
คริสต์ศตวรรษ       เวลารอบ 100  ปี ได้แก่ ศักราช 1- 100  
                                   คริสต์ศตวรรษที่ 1  คือ  ค.ศ. 1- 100
                                   ถ้าคริสต์ศตวรรษที่ 21 คือ ค.ศ. 2001 - 2100
ทษวรรษ             เวลาที่ครบรอบ 10 ปี
สหัศวรรษ          เวลาที่ครบรอบ 1000 ปี
ฮิจเลาะห์ศักราช     เริ่มนับ ฮ.ศ. 1  ตั้งแต่ปีที่ท่านนบีมุฮัมหมัดกระทำฮิจเราะห์(การอพยพ)ออกจากเมืองเมกกะ ไปเมืองเมดินะ


การนับศักราชที่พบในหลักฐานประวัติศาสตร์ไทยมีปรากฏอยู่หลายประเภท ได้แก่
1. คริสต์ศักราช ( ค.ศ. ) เป็นศักราชทางศาสนาคริสต์  ในปัจจุบันใช้แพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศ ตะวันตกที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือคริสต์ศาสนา การนับคริสต์ศักราชที่ 1 หรือ ค.ศ. 1 เริ่มนับในปีที่พระเยซู (ศาสดาของคริสต์ศาสนา) ประสูติ ซึ่งตรงกับ พ.ศ. 544      ถ้าคิดเป็น พ.ศ.   คือ  พ.ศ. + 543   ถ้าคิดเป็น ค.ศ. คือ  พ.ศ. - 543
2. มหาศักราช (ม.ศ.) เป็นศักราชที่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากอินเดีย    พราหมณ์จากอินเดียนำเข้ามา     มีหลักฐานว่าไทยใช้มหาศักราชมาตั้งแต่โบราณก่อนสมัยสุโขทัยจนถึงสมัยอยุธยาตอนกลาง    วิธีปรับมหาศักราชให้เป็นพุทธศักราช คือ      มหาศักราช+621 ปี
3. จุลศักราช (จ.ศ.) เป็นศักราชที่ไทยรับมาจากพม่า   ไทยใช้จุลศักราชตั้งแต่ปลายสมัยอยุธยาลงมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5  แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์ทรงเปลี่ยนมาใช้ รัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ) แทนวิธีปรับจุลศักราชเป็นพุทธศักราชคือ จุลศักราช + 1181 ปี
4. พุทธศักราช (พ.ศ.) เป็นศักราชที่เกี่ยวเนื่องด้วยพระพุทธศาสนา โดยเริ่มในปีที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน แต่มีกาiนับต่างกันบ้างเพราะการนับของไทยในปัจจุบันปีแรกที่พระพุทธเจ้านิพพานเป็นพุทธศักราชศูนย์ แต่ฝ่ายลังกาและพม่า นับเป็นพุทธศักราช 1 ในสมัยสุโขทัยนั้น เมื่อสุโขทัยรับพระพุทธศาสนามาจากลังกาจึงนับพุทธศักราชแบบลังกา พุทธศักราชในหลักฐานสมัยสุโขทัยจึงมากกว่าพุทธศักราชในปัจจุบันของไทยอยู่ 1 ปี ไทยใช้พุทธศักราชมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยแล้ว แต่ยังใช้เฉพาะในหลักฐานที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ส่วนการใช้ในเอกสารราชการมีปรากฏชัดเจนในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ประกาศใช้  พุทธศักราช หรือ พ.ศ. ตามแบบใย่างสากลที่ใช้ศาสนามานับช่วงเวลา
5. รัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.) เป็นศักราชที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกาศใช้โดยให้นับปีที่สถาปนากรุงเทพฯ เป็นราชธานีเป็นปีเริ่มต้นของรัตนโกสินทร์ศก เป็นศักราชที่ใช้เฉพาะในหลักฐานของไทย ปรากฎในเอกสารราชการตลอดมาจนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล      วิธีปรับรัตนโกสินทร์ศกให้เป็นพุทธศักราช คือ รัตนโกสินทร์ศก + 2324 ปี

6. ฮิจเราะห์ศักราช (ฮ.ศ.)  เป็นศักราชทางศาสนาอิสลาม ใช้ในประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ ฮิจเราะห์ศักราชที่ 1 หรือ ฮ.ศ. 1 ตรงกับปี พ.ศ. 1165 เป็นปีทีมีเหตุการณ์สำคัญทางศาสนาเกิดขึ้น คือ                  นบีมุฮัมหมัด ( ศาสดาของศาสนาอิสลาม ) กระทำฮิจเราะห์ (อพยพ)  จากเมืองเมกกะ ไปตั้งศูนย์กลางเผยแพร่ศาสนาแห่งใหม่ที่เมืองเมดินา   ประเทศซาอุดีอาระเบียในปัจจุบัน  

.......................................................





สไลด์เรื่อง  ความหมาย ความสำคัญ เวลา ศักราช ของประวัติศาสตร์










ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น